ฟังเพลงออนไลน์ GREEN WAVE ONLINE 106.5 - เพลงดีดีกับความรู้สึกดีดี (2024)

Table of Contents
News Updates อยากให้ความสำคัญกับใคร ให้เก็บโทรศัพท์ ภาษาสเปน ภาษาแห่งความสุขที่สุดในโลก เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดพร้อมคำทำนาย ของ “ต๊อกแต๊ก A4” ตัวแม่สายมู สู่เจ้าของฉายา “หมอดูเงินล้าน!” ใช้ชีวิต ลด Food Waste มุมมองความยั่งยืนฉบับ “PEAR is hungry” เปิดจุดเปลี่ยนชีวิตที่กลับมารักตัวเองได้ทัน ของ “พั้มกิ้น หิ้วหวี” จากช่างทำผมสุดจึ้ง กับตำนานสุดสะพรึงกินจนแพ้กุ้ง Songkarn Day สาดน้ำใจ ใส่ใจโลก ยีนส์ทรงนี้ ดีกับหุ่นไหมนะ อาหาร “รสมือม่า” GREEN MORNING SHOW GREEN MORNING SHOW 5 เม.ย. 67 GREEN MORNING SHOW 4 เม.ย. 67 GREEN MORNING SHOW 3 เม.ย. 67 GREEN MORNING SHOW 2 เม.ย. 67 GREEN MORNING SHOW 1 เม.ย. 67 GREEN MORNING SHOW 29 มี.ค. 67 CLUB FRIDAY Club Friday อยากเซอร์ไพรส์เธอ เจอเซอร์ไพรส์กว่า | 19 เมษายน 2567 Club Friday รวมเรื่องรัก ช่วงพัก Holiday | 12 เมษายน 2567 Club Friday รักคนผิด ชีวิตเปลี่ยน | 5 เมษายน 2567 Club Friday 108 คำถามหัวใจ | 29 มีนาคม 2567 Club Friday คู่ชีวิต คิดทรยศ | 22 มีนาคม 2567 Club Friday เรื่องเล็ก ที่ทำให้เลิกรัก | 15 มีนาคม 2567 เพื่อนเป็นหมอ ปวดหลังแบบนี้ใช่ออฟฟิศซินโดรมไหมหมอ ? | FULL EP เพื่อนเป็นหมอ แน่ใจหรอ ว่ากินช็อกโกแลตเสี่ยงแค่เรื่องของน้ำตาล ? | FULL EP เพื่อนเป็นหมอ พิชิตเป้าหมาย 2024 ด้วยสุขภาพดีแบบครบสูตร!| FULL EP เพื่อนเป็นหมอ เลือก Probiotic ที่ใช่กับตัวเราได้ไม่ยาก | FULL EP.32 เรื่องไตไม่ไกลตัว แค่ลดเค็มอย่างเดียวคงไม่พอ | FULL EP.31 เครียดนัก ก็พักก่อน | FULL EP.30 COVER NIGHT LIVE Cover Night Live : The Guitar Harmony Cover Night Live : DUO THERIAULT Cover Night Live : I Amp Telling You Cover Night Live Session : Chilling Sunday Cover Night Live Session : Chilling Sunday COVER NIGHT LIVE SESSION WANYAI EVENTS GREEN LUCKY: GREEN DESTINATION GREEN LUCKY: BUDDY DELICIOUS Greenwavecation เวลมคัมมูไทยแลนด์ จ.ปทุมธานี ยกขบวน ชวนปลูกป่าล้านไร่ ไปกับ กฟผ. อาสาพาไปรักษ์ ตอน คุณช่วยเก็บ เราช่วยปลูก GREEN TRIP #87 DISCOVER THE WORLD HERITAGE HEALTHY LIFESTYLE ยีนส์ทรงนี้ ดีกับหุ่นไหมนะ Hair Trick เลือกทรงที่ใช่ ภายใน 1 นาที ทำยังไงให้ไตแข็งแรง ทำสวย-ทำหล่อ บริจาคโลหิตได้หรือไม่? เรื่องสิวสิวจากนมวัว เปิดมุมมอง LGBTQ+ Idol กับ พินเนอร์ STARDASH LOVE INSPIRED เพราะรัก....คงไม่ต้องยอมไปซะทุกอย่าง รวมเพลงฮีลใจ คนอกหัก รักนี้ต้อง Move on รวมแคปชั่นคนอกหัก จี๊ดที่สุด! เจ็บที่สุด! จากพี่อ้อยพี่ฉอด อย่าให้รักเดียวใจเดียว เป็นเรื่องมหัศจรรย์ และการนอกใจกันเป็นเรื่องปกติ ตกลงเวลาน้อยหรือไม่ค่อยรัก คิดว่าเขางานยุ่ง หรือจริง ๆ เขาเอาเวลาไปยุ่งกับคนอื่นอยู่หรือเปล่า?? GREEN HEART GREEN BEAUTY ความงามที่ไม่ใช่แค่ความสวย อยากให้ความสำคัญกับใคร ให้เก็บโทรศัพท์ ภาษาสเปน ภาษาแห่งความสุขที่สุดในโลก ใช้ชีวิต ลด Food Waste มุมมองความยั่งยืนฉบับ “PEAR is hungry” Songkarn Day สาดน้ำใจ ใส่ใจโลก อาหาร “รสมือม่า” GREEN CHARITY GREEN CHARITY : SHARE FOR CHILD GREEN CHARITY : SHARE FOR ART GREEN CHARITY : WARM IT FORWARD GREEN CHARITY : SHARE FOR SHOES GREEN CHARITY : รับบริจาคถุงอาหาร น้องหมา-น้องแมว ทำบล็อกปูถนน GREEN CHARITY : SHARE FOR CARE CLUB PRIDE DAY Club Pride Day x น้องฉัตร Makeup | 18 เม.ย. 67 Club Pride Day x ต๊อกแต๊ก A4 | 11 เม.ย. 67 Club Pride Day x พั้มกิ้น หิ้วหวี | 4 เม.ย. 67 Club Pride Day x คุณ เพียว The Voice All Stars | 28 มี.ค. 67 Club Pride Day x นินจา จารุกิตต์ | 21 มี.ค. 67 Club Pride Day x พชร์ อานนท์ | 14 มี.ค. 67 Club Pride Day Recap เปิดเส้นทางชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “น้องฉัตร Makeup” จากเด็กอาชีวะ สู่ช่างแต่งหน้าคิวทองของเมืองไทย เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดพร้อมคำทำนาย ของ “ต๊อกแต๊ก A4” ตัวแม่สายมู สู่เจ้าของฉายา “หมอดูเงินล้าน!” เปิดจุดเปลี่ยนชีวิตที่กลับมารักตัวเองได้ทัน ของ “พั้มกิ้น หิ้วหวี” จากช่างทำผมสุดจึ้ง กับตำนานสุดสะพรึงกินจนแพ้กุ้ง เปิดเส้นทางพิชิตฝันของ “นินจา จารุกิตต์” ลีดเดอร์วง “4MIX” บอยแบนด์ LGBTQ+ ที่พา T-POP ดังไกลกระหึ่มเวทีโลก เปิดชีวิตที่ไม่อิงบท ของ “พชร์ อานนท์” ผู้กำกับที่บันทึกประวัติศาสตร์ฉบับย่อ ผ่านจักรวาลหอแต๋วแตก References

ฟังเพลงออนไลน์ GREEN WAVE ONLINE 106.5 - เพลงดีดีกับความรู้สึกดีดี (1)

ฟังเพลงออนไลน์ GREEN WAVE ONLINE 106.5 - เพลงดีดีกับความรู้สึกดีดี (7)

ฟังเพลงออนไลน์ GREEN WAVE ONLINE 106.5 - เพลงดีดีกับความรู้สึกดีดี (13)

News Updates

25 เม.ย. 2024

25 เม.ย. 2024

GREEN HEART

อยากให้ความสำคัญกับใคร ให้เก็บโทรศัพท์

ครั้งสุดท้ายที่คุณได้มีบทสนทนากับใครอย่างลึกซึ้ง ได้สบสายตา เห็นท่าที ต่างฝ่ายต่างฟังกันอย่างตั้งใจคือเมื่อไหร่กัน?เคยมีงานวิจัยบอกว่า คนเรามองหน้าจอมือถือ มากถึง 2,400 ครั้ง/วัน มากกว่าการมองหน้ากันเสียอีก เทคโนโลยีที่สร้างมาเพื่อการสื่อสารให้คนไกลได้ใกล้ขึ้น กลับเป็นตัวการเดียวกัน ที่ทำให้คนใกล้ ที่อยู่ตรงหน้า รู้สึกห่างไกลกันเหลือเกิน.......................................................................เมื่อเดือนที่แล้ว ที่เมือง เวโรนา ประเทศอิตาลี มีร้านอาหารใหม่ ชื่อ “Al Condominio” ที่เปิดตัวมาเพื่อให้คุณดื่มด่ำ ทุกนาทีในร้านอาหาร ผ่านทุกโสตประสาทอย่างเต็มที่ แบบที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือเข้ามากวนใจร้านอาหารจะมอบไวน์ 1 ขวดให้ฟรี สำหรับลูกค้าที่ไม่ใช้โทรศพัท์ระหว่างมื้ออาหาร เจ้าของร้านเล่าถึงความตั้งใจนี้ว่า ต้องการให้ลูกค้าได้สื่อสารกัน โดยให้ความสำคัญกับคนที่อยู่ตรงหน้า เพราะผู้คนในปัจจุบันหลายครั้ง แทบไม่คุยกันเลยที่โต๊ะอาหาร ต่างคนต่างเล่นโทรศัพท์มือถือทางร้านเชื่อว่า ประสบการณ์ของมื้ออาหารนั้นจะ อิ่มเอมขึ้น มีรสชาติมากขึ้น ด้วยสายสัมพันธ์ระหว่างกัน แขกที่สนใจ สามารถเลือกที่จะลองประสบการณ์นี้ โดยเอาโทรศัพท์เก็บใส่ตู้พิเศษที่ร้านเตรียมไว้ให้ และดื่มด่ำกับปัจจุบันที่อยู่ตรงหน้า สัมผัสอาหารทุกคำอย่างเต็มรสชาติ แล้วทางร้านก็จะมอบไวน์ให้ลูกค้า 1 ขวดทันทีAngelo Lella หนึ่งในผู้ก่อตั้งร้านอาหาร บอกว่า อยากให้ผู้คนกลับมาเห็นความสุขจากการกินอาหาร ร่วมกันกับผู้อื่น ได้มองตา และพูดคุยกันจากใจจริงๆ และที่ร้านอาหารนี้ก็มีแต่เมนูอาหาร ที่ทำจากกระดาษ ไม่มี QR Code ให้แสกนด้วยคอนเซปท์ใหม่ แบบไร้โทรศัพท์มือถือนี้ ทำให้มีลูกค้าสนใจจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่เป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่คนอายุมากกว่า 45 ดูลังเลที่จะห่างจากโทรศัพท์เพียง 2-3 ชั่วโมงและนอกจากร้านอาหารแล้วยังมี ร้านรองเท้าในอิตาลี ในย่าน Trevisio มีป้ายที่หน้าเคาน์เตอร์เขียนว่า “ ให้บริการเฉพาะลูกค้าที่ไม่ใช้โทรศัพท์มือถือ” เพราะรู้สึกว่าคุยกับลูกค้าที่ใช้โทรศัพท์ไป และสั่งรองเท้าไป ไม่รู้เรื่องอีกที่นึงในอิตาลี ที่เมือง Balestrate , สนามเด็กเล่นบางที่ มีป้ายเขียนไว้ชัดเจนว่า “ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์อิเลคโทรนิคส์ต่างๆในพื้นที่ และให้เวลากับลูกๆของคุณเถอะ” เพื่อให้เด็ก ผู้ปกครองทุกคน มีความสุขกับการเล่นด้วยกัน และเพิ่มความปลอดภัยในการใช้พื้นที่สำหรับทุกคน.......................................................................ถ้าได้กลับไปใช้เวลาร่วมกันกับครอบครัว กับคนที่รักทั้งที ลองชวนกันเก็บโทรศัพท์มือถือออกจากโต๊ะอาหารดูบ้าง ไม่แน่บางที อาหารฝีมือคนในครอบครัวอาจอร่อยขึ้นไปอีก เราอาจได้เปิดใจพูดคุยกันมากขึ้น ฟังกันเต็มสองหู อาจได้เห็นสิ่งที่เราละเลยมานาน และคนเป็นๆตรงหน้ามีตัวตนแจ่มชัดมากขึ้นแม้จะเป็นเพียงเวลาสั้นๆ แต่ถ้ามันเป็นเวลาที่มีคุณภาพ แค่นั้นก็พอแล้วข้อมูล : Al Condominio

23 เม.ย. 2024

GREEN HEART

ภาษาสเปน ภาษาแห่งความสุขที่สุดในโลก

งานวิจัยล่าสุด ของ National Academy of Sciences เผยว่าภาษาของบางประเทศ เป็นภาษาที่มีการมองโลกในแง่บวกมากกว่าภาษาอื่น ๆ เช่นการมีคำที่พูดถึงช่วงเวลาดี ๆ มากกว่า ช่วงเวลาแย่ ๆการศึกษาเริ่มโดยดึงคำที่ใช้บ่อยที่สุด จากฐานข้อมูล 100,000 คำจากแต่ละภาษา จากทั้งหมด 10 ภาษา (อังกฤษ สเปน เยอรมัน บราซิล โปรตุเกส เกาหลี จีน รัสเซีย อินโดนีเซีย อาหรับ) โดยดึงมาจากการใช้งานจริงบนโลกโซเชียล และสื่อต่างๆ เช่นผ่าน ทวิตเตอร์, หนังสือ ,เนื้อเพลง, ข่าว, ชื่อหนัง และ อื่นๆเสร็จแล้วให้เจ้าของภาษา จำนวน 50 คน ของแต่ละภาษา มาให้คะแนน โดยคัดคำที่ใช้บ่อยที่สุด 10,000 คำ โดยวัดอารมณ์ของแต่ละคำบนสเกล จาก 1-9 จากอารมณ์ลบมากที่สุด ไปจนถึงบวกมากที่สุดผลทดสอบพบว่า ภาษาส่วนใหญ่ค่อนข้างไปทางแง่บวก แต่ภาษาที่มองโลกสดใสที่สุด คือ ภาษาสเปน รองลงมา เรียงตามลำดับดังนี้คือ คือ อันดับ 2 โปรตุเกส, อันดับ 3 อังกฤษ, อันดับ 4 อินโดนีเซีย, อันดับ 5 ฝรั่งเศส, อันดับ 6 เยอรมัน, อันดับ 7 อาหรับ, อันดับ 8 รัสเซีย, อันดับ 9 เกาหลี, อันดับ 10 จีน ในขณะที่ภาษาที่มีความสมดุลย์ ไม่ลบ ไม่บวกที่สุด คือ ภาษาจีนการศึกษานี้ทำขึ้นในการศึกษาชื่อว่า “Hedonometer” หรือ มาตรวัดความสุข ที่มองหาสัญญาณแห่งความสุข จากที่ต่างๆ เช่นความสุขที่แสดงออกจากภาษาก็ขึ้นอยู่กับ สถานการณ์ เวลา และ สถานที่ด้วย เช่นในสหรัฐ รัฐมีที่มีสัญญาณความสุขมากที่สุด คือ เวอร์มอนท์ และ หลุยเซียน่า มีสัญญาณต่ำที่สุด ซึ่งในขณะนี้มาตรวัดความสุข สามารถวัดได้เฉพาะภาษาอังกฤษ แต่ทีมงาน มีแผนที่จะขยายไปยังภาษาอื่นๆ ต่อไปในอนาคต

20 เม.ย. 2024

Club Pride Day Recap

เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดพร้อมคำทำนาย ของ “ต๊อกแต๊ก A4” ตัวแม่สายมู สู่เจ้าของฉายา “หมอดูเงินล้าน!”

“เหรียญมี 2 ด้านเสมอ อะไรมากเกินไปก็ไม่ดี น้อยเกินไปก็ไม่ดี เรื่องดวง ต๊อกแต๊ก พูดเสมอว่า อย่าไปเอาหมอดูมาเป็นตัวตัดสินใจทั้งหมด ให้มองว่าหมอดูเป็นแค่ไกด์ไลน์ชีวิต เพราะสิ่งที่เกิดในชีวิต มันมาจากดวงส่วนนึง และการกระทำของเราอีกส่วนนึง ซึ่งมันจะมีผลของมันอยู่”Club นี้มีเรื่องราวมากมาย Club นี้มีหลากหลายสีสัน และ Club นี้ยังคอยแบ่งปันแรงบันดาลใจดี ๆ ในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดต๊าช “ต๊อกแต๊ก A4” ตัวแม่สายมูเตลู กับเหตุการณ์เซ้นส์พลิกชีวิต ให้กลายเป็นหมอดูชื่อดัง เจ้าของฉายา “หมอดูเงินล้าน” สีสันของชีวิต ข้อคิดแรงบันดาลใจ พร้อมคำทำนายสุดจึ้ง ได้ถูกแชร์ไว้ในรายการอีกด้วยดร.ณฐอร นพเคราะห์ กับเส้นทางการท่องเที่ยวตามรอยพญานาค“ต๊อกแต๊ก เพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก Marketing Communication ซึ่งหลักสูตรนี้เป็นของบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ซึ่งตอนปริญญาตรี ต๊อกแต๊ก เรียนจบคณะศิลปกรรมศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม หนูเป็นเด็กบ้านนอก พอเข้ามาในกรุงเทพปุ๊บ เราก็เหมือนต้องมาบากบั่นหาเงิน แล้วก็ส่งเสียครอบครัว ส่งน้องสาวเรียนด้วย ตอนนั้นเราก็เลยไม่มีโอกาสเรียนต่อ แต่สุดท้ายหนูได้ทุนจาก มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ซึ่งในตอนแรกหนูได้ทุน ป.โท ก่อน แล้วพอเรียนประมาณ 1ปี คณบดีบัณฑิตวิทยาลัยก็แจ้งข่าวสารมาว่า ทางมหาวิทยาลัย อนุมัติให้ต๊อกแต๊ก เรียนหลักสูตรโทควบเอก หนูก็เลยต้องลาออกแล้วไปลงเรียนใหม่ ผ่านไป 4 ปี ก็เรียนจบ เพิ่งรับปริญญามาเมื่อ วันที่ 29 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมาค่ะความเชื่อในเรื่องพญานาค ด้วยความที่ต๊อกแต๊ก เป็นเด็กอุบลราชธานี มีคุณตาเป็นหมอธรรม คือเป็นคนที่ศึกษาเรื่องของไสยเวท ส่วนคุณปู่ก็เป็นเหมือนหมอดูด้วย เป็นหมอดูที่ต้องเขียนกระดานชนวน แล้วทั้งคู่ก็จะมีความเชื่อในเรื่องของพญานาค ทำให้ต๊อกแต๊กก็เชื่อในเรื่องของพญานาคอยู่แล้ว เชื่อว่าท่านบันดาลฝน ช่วยเหลือมนุษย์ และนำพาความเจริญรุ่งเรืองมาให้เราแต่พอเรามาอยู่ในบทบาทการเป็นนักวิชาการ เราก็ต้องห้ามอคติกับข้อมูล แล้วก็ต้องศึกษาหลาย ๆ มุม บวกกับตัวเองเป็นคนที่ชอบความอลังการ ความสวยงาม งานสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ต๊อกแต๊ก เลยได้นำเรื่องราวของพญานาค มาสร้างเป็นสตอรี่ เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยว โดยพื้นที่ขอบเขตงานวิจัยของหนูคือเส้นแม่น้ำโขง ตั้งแต่จังหวัดเลย ไปจนถึง จังหวัดอุบลราชธานี เราก็ไปเลือกแหล่งท่องเที่ยวมา แล้วนำมาจัดกรุ๊ปเป็นเส้นทางแต่ละเส้นทาง ได้ทั้งหมด 99 แหล่งท่องเที่ยว ใน 9 เส้นทางความเชื่อเรื่องพญานาค ของคนภาคอีสาน เค้าจะมี ฮีตสิบสอง คลองสิบสี่ ฮีตสิบสองก็คือประเพณีที่เป็นจารีตที่ทำต่อ ๆ กันมา ซึ่งมันจะมีช่วงที่ฝนแล้งต้องขอฝน คนอีสานก็เลยต้องขอพญาแถน โดยการจุดบั้งไฟขึ้นไป นอกจากนี้คนอีสานก็เชื่อว่าพญานาคก็เป็นผู้บันดาลฝน บันดาลน้ำ พอเราได้ไปศึกษาความหมายของพญานาค ตามข้อมูลงานวิจัย หรือตามเอกสารต่าง ๆ บอกว่าพญานาคเป็นผู้ยิ่งใหญ่ทางน้ำ และมีความเชื่อเรื่องของการบันดาลฝน บันดาลน้ำ บันดาลความเจริญอุดมสมบูรณ์ เพราะน้ำคือตัวแทนความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งหากเรามองในยุคปัจจุบัน จากการเก็บข้อมูล เราจะเห็นว่าในภาคอีสานมีพญานาคอยู่หลาย ๆ แห่ง ซึ่งตรงไหนที่มีพญานาค ส่วนใหญ่จะเกิดเศรษฐกิจชุมชน เช่น ขายบายศรี ขายดอกไม้ ขายพวงมาลัย รวมไปถึงขายสลากกินแบ่ง มันก็เป็นการสร้างเม็ดเงินหมุนเวียน ต๊อกแต๊ก ก็เลยมองว่า จริง ๆ แล้วถ้ามองในเรื่องของความเชื่อสมัยก่อน ที่เชื่อว่าพญานาคให้ความเจริญ อาจจะหมายถึงการทำให้น้ำอุดมสมบูรณ์ ทำให้พืชผลทางเกษตรกรรมเจริญงอกงาม แต่ในปัจจุบันนี้อาจจะหมายถึง การทำให้เม็ดเงินเกิดการหมุนเวียนในจังหวัด อย่างเช่น นครพนม กำลังจะพัฒนาจากเมืองรองเป็นเมืองหลัก บึงกาฬกำลังจะมีสนามบิน นอกจากนี้สนามบินกำลังจะเกิดขึ้นใน มุกดาหาร พะเยา พังงา ส่วน กาฬสินธุ์ และ มหาสารคาม ก็จะร่วมกันทำสนามบินต่อไปในอนาคตค่ะ”ต๊อกแต๊ก A4 กับจุดเริ่มต้นบนเส้นทางหมอดู“ฉายา ต๊อกแต๊ก A4 มาจากกระดาษ A4 ที่เราใช้จดชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิด แล้วก็จะดูดวงจากกระดาษ A4 เลยเป็นที่มาของ ต๊อกแต๊ก A4 จุดเริ่มต้นของการดูดวง ย้อนกลับไปก่อนจะเป็นหมอดู สมัยก่อนเราเป็น AE แล้วก็ต้องไปดูการตัดต่อ เพราะต้องไปดูโฆษณาให้ลูกค้า แล้วพอตัวเราไปโดนกับตัดต่อปุ๊บ เราก็เห็นเป็นภาพที่ต่อกันเป็นเรื่องราว แล้วก็พูดกับน้องตัดต่อคนนั้นว่า ที่บ้านมีต้นวาสนาเหรอ ต้นสูงดีนะ นี่เพิ่งเปลี่ยนรถมาเหรอ น้องก็ตกใจว่า พี่ต๊อกแต๊ก ดูดวงผมรึเปล่าเนี่ย เราก็เลยมีสติขึ้นมา แล้วก็เก็บเซ้นส์นั้นมา หลังจากนั้นก็มีรุ่นพี่ที่เป็นร่างทรง ก็แนะนำต๊อกแต๊กว่า ถ้าไม่อยากเป็นร่างทรงก็ให้ไปขอกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือ ซึ่งตอนนั้น เรานับถือพระแม่อุมา ที่วัดแขก ซึ่งเป็นองค์เดียวที่นับถือในตอนนั้น แล้วเราก็ขอองค์แม่ว่า ขอให้ลูกได้เป็นผู้หญิงเหมือนองค์แม่ จนกระทั่งช่วงอายุ 24 ปี ใกล้เบญจเพส ก็มีโอกาสได้เป็นพรีเซ็นเตอร์โรงพยาบาลศัลยกรรมขึ้นชื่อของไทย ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้เป็นคนดัง เป็นแค่กะเทยคนนึงที่มีนักข่าวมาสัมภาษณ์ความรู้สึกและความต้องการศัลยกรรมของเรา แล้วเราก็บอกว่าอยากจะแปลงเพศที่โรงพยาบาลนี้ แล้วปรากฏว่าได้แปลงเพศฟรี ในปี 2552 เราเลยรู้สึกว่านี่เป็นพรของพระแม่ เพราะตอนนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะได้แปลงเพศ เราเป็นแค่กะเทยบ้านนอกที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพ เงินเดือน 8,000 บาท จะไปหาเงินจากไหนมาแปลงเพศต๊อกแต๊ก A4 กับเซ้นส์ที่มีติดตัวมาตั้งแต่เด็ก“เรื่องของเซ้นส์จริง ๆ แล้วมันมีมาตั้งแต่เราเป็นเด็ก เราก็จะเห็นว่าบ้านหลังนี้ดูเค้ามีปัญหาครอบครัวนะ ซึ่งคนรอบตัวเราก็จะงงว่า ต๊อกแต๊ก อยู่ดี ๆ ทำไมถึงทักแบบนี้ แล้วเซ้นส์นี้มันก็หายไปตอน ต๊อกแต๊ก เรียนมหาวิทยาลัย แล้วก็กลับมาอีกทีตอนที่กลับมาทำงานแต่ก่อนเซ้นส์มันมาหนักมาก จนรู้สึกว่าบางเรื่องเราขอไม่เห็น แต่เราปิดระบบไม่ได้ บางทีเราไปนอนสระผมที่ร้าน เราก็เห็นเรื่องราวของคนที่มาสระผมให้ หรือบางทีเวลามีคนมาดูดวงกับเรา เราก็เห็นว่ามีคนเดินตามเค้ามา จนกระทั่งวันหนึ่งอาจจะเป็นความแก่กล้าของเรา เราเริ่มควบคุมเซ้นส์ได้ อะไรที่ไม่อยากรับรู้เราก็ตัดไปเลย ไม่สนใจมันไปเลยเคยมีแม่ลูกมาดูดวงกับต๊อก ซึ่งลูกของเค้าเกิดมาแล้วเป็นมะเร็งเลย ตอนนั้น ต๊อกแต๊ก ยังไม่เคยรู้จักท้าวหิรัญพนาสูร แต่อยู่ดี ๆ ตอนนั้น เราก็รู้สึกว่าเคสนี้ต้องไปกราบท้าวหิรัญพนาสูรนะ แล้วไปเข้าคอร์สรักษา ซึ่งพอเค้าไปทำตามลูกเค้าก็หายจริง ๆ พอดูดวงมาเยอะ ๆ เราก็เรียนรู้ว่าทุกคนต้องเผชิญกรรมของตัวเอง ทุกอย่างมันอยู่ที่บุญและกรรมของเรา ซึ่ง ต๊อกแต๊ก ก็ไม่ได้อยากจะมาเป็นหมอดูหรอก แต่ในเมื่อวันนี้ ถ้าเส้นทางของ ต๊อกแต๊ก มันโดนขีดมาแล้วว่าต้องเป็นหมอดู ดังนั้น ต๊อกแต๊ก ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ไปเอาเปรียบคนอื่น เราต้องพูดตามที่เราเห็น ตามเซ้นส์ที่เราสัมผัสได้ ต๊อกแต๊ก ก็เลยทำแบบนั้นมาโดยตลอด 17 ปีค่ะ”เช็คดวงหลังสงกรานต์ 2567 ราศีไหนปัง ราศีไหนต้องระวัง!“ราศีที่ต้องระวังเป็นพิเศษ จะมี ราศีสิงห์ และ ราศีธนู ที่อาจจะต้องระมัดระวังหน่อย และอาจจะเหนื่อยหน่อยในปีนี้ ราศีเมถุน ปีนี้ก็จะเจอปัญหาหรือเจออะไรที่มันยาก อย่างถ้าน้อง ๆ ที่เรียนหนังสืออยู่ หรือทำงานอยู่ หรือที่ต้องฝ่าฝัน หรือต้องสอบแข่งขัน อาจจะยากหน่อย ส่วนราศีที่โดดเด่นและเฮง ในปีนี้ก็จะมี ราศีกุมภ์ ราศีพฤษภ ราศีพิจิก ราศีกันย์ และราศีตุลย์จะโดดเด่นในเรื่องโดยรวมทั้งงาน ทั้งเงิน มีโอกาสใหม่ ๆ เกิดขึ้น ใครที่มองในเรื่องของการลงทุนอยู่ ราศีราศีเหล่านี้ก็ถือว่าเป็นราศีที่โดดเด่นเลยค่ะโดยวิธีการนับราศีของ ต๊อกแต๊ก จะนับง่ายมากคือวันที่ 16-15 อย่างเช่น 16 มิถุนายน จนถึง 15 กรกฎาคม คือราศีเมถุน แบบนี้ค่ะ แต่ก็จะมีหลาย ๆ ท่านที่เค้าดูตามลัคนา”เปิดความหมายตัวเลขท้ายบัตรประจำตัวประชาชน จาก ต๊อกแต๊ก A4“ต้องบอกว่าเลข 3 ตัวท้ายบัตรประชาชนของเรา เลขที่ดี เลขที่เฮง เลขที่ฆ่าไม่ตาย ส่วนใหญ่จะต้องมี เลข 1 เลข 5 และ เลข 9เลข 1 เกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คนตรงไปตรงมา มีความมั่นคง แบบสิ่งศักดิ์สิทธิ์อวยพร มีแต้มบุญเก่ามาดี และอาจจะมีโลกส่วนตัวสูงหน่อยเลข 2 เป็นเลขของความเหนื่อย ความอดทน ความพยายาม ถ้าต้องเลือกลูกน้องสักคน เลขบัตรประชาชนของเค้าควรจะมีเลข 2 หรือเกิดวันที่ 20 วันที่ 2 เพราะเลข 2 มันเป็นเลขของความพยายาม ความอดทน เป็นคนขยัน ถึงแม้จะเหนื่อยหน่อย แต่ว่ามันก็มีโอกาสประสบความสำเร็จ แต่เลข 2 ไม่ควรที่จะไปหุ้นกับคนอื่นเลข 3 ไอเดีย ความคิด แต่บางครั้งก็คิดมากเกินไป อย่างถ้าเลข 3 ไปอยู่กับวันจันทร์ พุธ ศุกร์ จะเป็นคนอีโมชั่นนอลเยอะ เพราะ เลข 3 คือความวิตกกังวลได้ง่าย เป็นคนคิดมากเลข 4 จะมีผลเรื่องของความรัก คือความรักที่ไม่สมบูรณ์แบบ รักเพศเดียวกัน รักคนต่างประเทศ รักพ่อแม่แม่หม้าย ต้องแต่งงาน 2 รอบ หรือรักซ้อนซ่อนรัก เลข 4 ถ้าเราโสด หรืออยากแต่งงานกับคนเลขนี้ วิธีการแก้ก็คือจัดงานแต่งงานได้แต่ไม่ต้องจดทะเบียน หรือบางคนจดทะเบียนแล้วจดทะเบียนหย่าแล้วจดทะเบียนใหม่ หรือบางคนก็แยกห้องนอน หรืออาจจะใช้เตียง 2 เตียงติดกันก็ได้ และเลข 4 เป็นเลข LGBTQ+ ได้ด้วย คนที่เป็น LGBTQ+ ส่วนใหญ่จะมีเลข 4 ในชีวิตเลข 5 คือเลขเงินเลข อำนาจ วาสนา คล้ายกับเลข 1 ตรงที่ว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองเลข 6 จะมีความเป็นตัวเองคือเหมาะกับการทำอะไรเป็นของตัวเอง ธุรกิจของตัวเอง หรือเป็นนายตัวเอง บางทีก็จะโลกส่วนตัวสูงหน่อยเลข 7 เลขเกี่ยวกับต่างประเทศ ชาวต่างชาติ อะไรที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศจะดีเลข 8 เป็นเลขดารา เป็นเลขที่ต้องใช้ปากทำมาหากิน เช่น พ่อค้า แม่ค้า นักร้อง พีอาร์ เซลล์ขายของ อาชีพที่ต้องใช้ปากทำมาหากินทั้งหลายเลข 9 ก็คือความมั่นคงในชีวิต เป็นอีกเลขนึงที่เป็นเกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็จะเป็นเลขที่ค่อนข้างที่จะมีความมั่นคง แต่บางครั้งมันก็จะทำให้เราเป็นคนที่ตรงหรือโลกส่วนตัวสูงมากเหมือนกันเลข 0 สำหรับต๊อกแต๊กจะไม่นับ ยกเว้นว่าคนที่มีเลข 0 0 0 (ในตำแหน่ง 3 ตัวท้ายบัตรประชาชน) ให้ดูเป็นเลขตัวแรกก่อนที่จะเป็นเลข 0 แทน”ประสบการณ์ดูดวง ของ ต๊อกแต๊ก A4“ต๊อกแต๊ก ไม่ดูดวงตัวเอง เพราะไม่ว่ามันจะเป็นกลางขนาดไหน เราก็อดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ และกับญาติพี่น้องหรือกับคนสนิทก็จะดูดวงให้ไม่ได้เหมือนกัน แต่มีเหตุการณ์ที่เป็นเรื่องของครอบครัวเลย คือ ต๊อกแต๊ก ฝันว่าคุณตาลื่นล้ม แล้วมีวิญญาณมาดึงคุณตา พอตื่นเช้ามา ต๊อกแต๊ก ก็โทรหาคุณแม่ว่าคุณตาอยู่ไหม แม่ก็บอกว่าคุณตาล้ม เราก็เลยตกใจ เพราะรู้ว่าล้มรอบนี้หนักแน่ แต่แม่ก็บอกว่าไม่หนักนะ กลับมาอยู่บ้านแล้ว แล้วแม่ก็ถามว่าทำไมต๊อกแต๊กถึงรู้ เราก็เล่าเรื่องความฝันที่ฝันถึงคุณตาให้แม่ฟังอีกเหตุการณ์หนึ่งคือ ที่บ้านของต๊อกแต๊ก จะมีรถสีส้ม เป็นรถสองแถวคันใหญ่ แล้ววันหนึ่ง ต๊อกแต๊ก ก็ฝันว่า รถคันนี้ไปขนอะไรมา แล้ว ต๊อกแต๊ก ก็ขับมอเตอร์ไซค์อยู่ข้างหน้า แล้วรถคันนี้ขับตาม แล้วเหมือนหลังรถขนไม้หรือขนบางสิ่งอยู่ข้างหลัง แล้วภาพก็ตัดไปเป็นภาพบ้าน แล้ว ต๊อกแต๊ก ก็เดินเข้าไปในบ้าน พอตื่นเช้ามา ต๊อกแต๊ก ก็โทรไปถามแม่ว่า แม่เอารถไปขนอะไรมารึเปล่า แม่บอกว่าเอาไปขนบ้านร้างที่มีคนเสียชีวิตจากจังหวัดอื่นมา ซึ่งกับครอบครัวส่วนมากเซ้นส์จะมาในแบบความฝัน ถ้าฝันแล้วจะค่อนข้างแม่นแต่ก่อน ต๊อกแต๊ก จะใช้แค่กระดาษ A4 แล้วก็ดูดวงดวงตามเซ้นส์ หลัง ๆ มันต้องมีตัวช่วยอื่น ๆ อย่างเช่นให้จับไพ่ซิ แล้วเราก็อ่านตามไพ่ หรืออย่างตอนดูดวงให้ แซมมี่ เราก็ให้ไปหยิบใบไม้มา เด็ดมาแล้วอธิษฐานจิต แล้วเราก็ทักตามที่เห็นจากใบไม้ และเวลาคนมาดูดวง เราก็ต้องขออนุญาตเค้า และเค้าต้องอนุญาตให้เราดูดวง เราถึงจะดูดวงให้ได้ค่ะ”ต้องดูดวงอย่างไร ให้จากลบ กลายเป็นบวก“ต๊อกแต๊ก จะเป็นคนที่คำนึงว่า ถ้าเป็นเราไปดูดวงแล้วมีคนพูดกับเราแรงๆ เราก็คงไม่ชอบ เราก็เลยต้องพยายามคิดก่อนว่า เราจะทำยังให้จากที่มันจะเป็นลบให้กลายเป็นบวก อย่างเช่นเรารู้ว่าเค้าจะมีเกณฑ์เกิดอุบัติเหตุแบบหนัก ๆ เราก็จะบอกว่าช่วงนี้ขับรถให้ระมัดระวัง หรือถ้าออกกำลังกายก็ให้ระมัดระวังเพราะว่ามีเกณฑ์เกิดอุบัติเหตุอยู่ ลองไปบริจาคเลือด ไปเอาเลือดออกหน่อย ไปทำฟัน หรือไปจิ้มหน้า ให้ตัวเองมีเลือดออก หรือไปบริจาคโรงศพ แล้วอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวร หรือบางทีอย่างสุขภาพของคุณพ่อคุณแม่ของเค้า มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เราก็ต้องบอกว่า ช่วงนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องระวังนะคะ โดยเฉพาะคุณแม่มีเกณฑ์เจ็บป่วย แต่ ต๊อกแต๊ก คิดว่ามันน่าจะเป็นไปตามวัย อาจจะพาเค้าไปเช็คร่างกายหน่อย เหมือนเป็นการฟาดเคราะห์ พอพูดแบบนี้ลูกของเค้าก็จะพาไปตรวจร่างกายหน่อย พาไปฟาดเคราะห์หน่อย เพราะคนแก่ส่วนใหญ่ พอคนอื่นทักมักไม่ฟัง แต่พอบอกหมอดูทักกลับเชื่อ”การดูดวง ที่มาพร้อมการเก็บสถิติ“ต๊อกแต๊ก ชอบในเรื่องของการเก็บข้อมูล เพราะแต่ก่อนคนมาดูดวง จะต้องบอกชื่อ วัน เดือน ปี เกิด อายุ เราจะรู้เลยว่าคนที่มาดูดวงกับเรา 10 คน อายุอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ แล้วอาชีพที่มาดูดวงกับเราเยอะที่สุดคือ เซลล์ ลูกเรือ นักการตลาด หมอ และอาจารย์มหาวิทยาลัย โดยคนที่มาดูดวงอายุต่ำสุดอยู่ที่ 25-26 ปี เป็น First Jobber และอายุที่เยอะที่สุด ก็ประมาณ 35 ปี จึงกลายเป็นที่มาว่า ทำไมดวงรายปักษ์ ของ หมอดูต๊อกแต๊ก A4 ถึงมีเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องสุขภาพ เรื่องความรัก เรื่องศีลสมดุลย์ และเรื่องการทำบุญ ซึ่งตอนเริ่มสื่อโซเชียลยังไม่มาเลย แล้วพอมันเริ่มมีโซเชียล ต๊อกแต๊ก ก็เริ่มมาเขียนดวง เขียนในโน้ตโทรศัพท์ แล้วก็แคปเอามาลง กลายเป็นว่ามีคนติดตามเยอะเวลาดูดวง คนชอบถามเรื่องงานก่อน แล้วจะมีเงินไหม ความรักเป็นยังไง แล้วถึงถามเรื่องสุขภาพ จริง ๆ แล้ว ต๊อกแต๊ก มองว่า สุขภาพสำคัญที่สุดในชีวิตคนเรา แต่คนจะเอาสุขภาพไว้ที่หลัง ต่อให้เรามีเงินขนาดไหน แต่ถ้าสุขภาพเราไม่ดี เงินของเราก็จะหมดไปกับสุขภาพ เราจะไม่มีเวลาใช้เงิน แต่ถ้าเราสุขภาพดี แล้วเรามีแรงในการทำมาหาเงิน ต๊อกแต๊ก ว่าอันนี้สำคัญมาก”เปิดทริค มูความรักอย่างไรให้ปัง!“ถ้าเอาในพาร์ทของหมอดูก่อน ต๊อกแต๊ก ก็จะบอกว่า ถ้าเรามีเลข 4 ในดวง ซึ่งส่วนมากจะอาภัพรัก เราก็ไม่ต้องกลัว สำหรับ ต๊อกแต๊ก คิดว่าเผชิญกับมันไปเลย อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดเราห้ามกันไม่ได้ แต่เราต้องมีสติแล้วก็รับมือมันให้ได้ ดังนั้นถ้าเรารู้เร็วว่ามีเลข 4 ก็ให้ไปแก้เคล็ดก่อน ซึ่งมันมีวิธีการแก้เคล็ดก็จริง แต่มันไม่ได้บอกว่าจะสำเร็จแบบ 100% บางคนแก้แล้ว แต่ก็ยังเลิกอยู่ดี แต่ ต๊อกแต๊ก ก็จะให้วิธีการสำหรับคนที่มีเลข 4 แล้วมีคู่ยาก ก็ลองไปขอถอนคำสาบานที่ ร.5 เสร็จปุ๊บก็ไปไหว้พระนอน เพื่อขอถอนคำสาบาน คำสาปแช่ง คำสัญญา ที่เราเคยมีชาติที่แล้ว และเราขออนุญาตมีคู่ในชาตินี้ จากนั้นเราค่อยไปขอเทพองค์อื่น พระแม่ลักษมี พระแม่อุมา แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เรายังไม่ไปถอนคำสาบาน ไปขอยังไงก็ไม่ได้ เพราะว่าเรามีคนที่ห่วงเราอยู่ส่วนอีกพาร์ทที่ไม่ได้เป็นหมอดู ต๊อกแต๊ก มองว่าการที่จะมีความรัก มันคือแต้มบุญของเราส่วนนึง แล้วก็การวางตัวของเราแต่ละคน มันต้องมาพร้อม ๆ กันคือ การมูเตลู การออกไปหา การไปเจอ การไปเรียนรู้ และบางครั้งเราอาจจะพลาดคนดี ๆ ไปก็ได้ ถ้าเรามองเห็นเค้าภายนอก แล้วเรารู้สึกว่าไม่ใช่ ต้มยำ 2 ถ้วย รสชาติยังไม่เหมือนกันเลย ถ้าไม่ลองชิมก่อน เราจะรู้ได้ยังไงว่ามันเปรี้ยวไป เค็มไป หรือหวานไป เราต้องลองชิมดูก่อน”เปิดหัวใจ ส่องความรักของ ต๊อกแต๊ก A4“ก่อนจะมีความรักที่ดี ต๊อกแต๊ก เคยโดนพระที่เป็นเกจิที่ตัวเองนับถือมาก ๆ ท่านทักว่า ต๊อกแต๊ก ต้องผิดหวังกับความรักทั้งหมด 11 ครั้ง พอรู้เราก็ตกใจนะ แต่ก็ตัดสินใจเผชิญกับมัน เราทุ่มเทกับความรักทุกครั้ง เราใส่ใจคนรัก เราให้เกียรติ เราเต็มที่ในพาร์ทของความรัก แต่เมื่อไหร่ที่มันไปต่อไม่ได้ เราต้องรู้จักที่จะยอมรับมันแล้วก็มูฟออน ทุกวันนี้ก็กลายเป็นเพื่อนกัน ครั้งหนึ่งเราเคยรักเค้า เค้าก็เคยรักเราเรื่องมูเตลู ต๊อกแต๊ก ไปขอกับ ร.5 ที่ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ไปกับ คุณนิว นภัสสร ตอนนั้น คุณนิว ยังไม่มีลูกเลย ก็ไปกราบขอพรหลวงพ่อสมเด็จวัดโพธิ์ แล้วนิวก็บอกว่าพานดอกไม้เหลือ ไปไหว้เสด็จพ่อ ร.5 ไหม ก็เลยไปไหว้กัน หลังจากนั้นคนก่อนหน้านี้ก็เข้ามาในชีวิต เราก็คิดว่านี่คงเป็นคนที่เรารอคอยมานาน แต่กลับกลายเป็นว่ามันไม่รอด แล้ววันที่เลิกกัน ก็คือวันที่ไปกราบศพสมเด็จะพระสังฆราชที่วัดนี้พอดี เราก็ไปกราบ ร.5 ด้วยกัน แล้วก็บอกเลิกกันวันนั้น เราเลิกกันด้วยดีเพราะเรารู้สึกว่ามันไปต่อไม่ได้ เรารู้สึกว่าท่านให้เราสองคนมาชดใช้กรรมให้มันหมดเพื่อที่จะให้เราเจอคนใหม่ ซึ่งแฟนคนปัจจุบันเราก็ไปขอพระแม่อุมา ที่วัดแขก ก็ได้ความรักครั้งนี้มากับ คุณตั๊ก เรารู้จักกันมาประมาณ 6 ปี แต่ว่าเพิ่งมาคบกันเมื่อปีที่แล้ว เพราะว่าก่อนหน้านี้ ต๊อกแต๊ก ก็มีความรักมาก่อน แต่ไม่ได้สมหวัง กับคนนี้ เราเพิ่งคบกันเมื่อตอน สิงหาคม 2566 รู้จักกันเพราะว่าเค้ากับรุ่นน้องของเรารู้จักกัน แล้วรุ่นน้องก็เป็นคนพาเค้ามาดูดวงกับเรา ตอนนั้นเค้าเพิ่งย้ายมาจากอเมริกา แล้วจะมาอยู่มาเลเซีย เค้าก็เลยมาดูดวง ซึ่งตอนนั้นยังไม่สนใจกันเพราะต่างคนต่างมีแฟน แต่เค้าก็ติดตาม Instagram เรา แล้วก็ทักมาบ้าง จึงได้เริ่มได้พูดคุยกัน แต่พอคุยกันไปสักพักมันก็มีเหตุให้เราต้องหยุดการคุยกันไป ต่างคนต่างใช้ชีวิต แต่ว่าเค้าก็ไม่เคยหายไปแบบ 100% เค้าก็ยังมีไปทำบุญตรงนี้นะเอาบุญมาฝาก แล้วก็ให้กำลังใจกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน หรือเรื่องความรัก แต่ในวันที่มาคบกัน มันเหมือนพอรู้จักกันมาแล้วแล้วเราอายุเท่า ๆ กัน เลยได้คุยกันแบบผู้ใหญ่ และเราสองคนจะต้องไม่เป็นภาระของกันและกัน เค้าก็บอกโอเคเพราะเค้าก็อยากจะกลับมาดูแลคุณพ่อคุณแม่ มาดูแลกิจการที่บ้าน มาทำธุรกิจของเค้า แล้วเราก็ต่างคนต่างซัพพอร์ทกันไป กลายเป็นความรักที่ดีค่ะตอนนี้”ต๊อกแต๊ก A4 กับการผลักดัน พ.ร.บ. #สมรสเท่าเทียม“ก่อนหน้านี้ มันก็จะมีร่างของหลาย ๆ พรรคการเมือง แต่ก็จะมีอุปสรรคในเรื่องของการเข้าไปในสภาแล้วมันโดนตีตก ซึ่งพวกเราก็สู้กันมาโดยตลอด แต่พอ ต๊อกแต๊ก ได้มีโอกาสเข้าไปนั่งเป็นนักวิชาการประจำกรรมาธิการเด็กเยาวชนสตรีผู้สูงอายุผู้พิการกลุ่มชาติพันธุ์และผู้มีความหลากหลายทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร มันก็มีเรื่องของเจนเดอร์ ในเรื่องของการสมรสขึ้นมา ซึ่ง ต๊อกแต๊ก เป็นคนกดไมค์แล้วพูดว่า จริง ๆ เป็นประเทศที่เปิดกว้างมากเลยสำหรับ LGBTQ+ แต่ว่าเปิดกว้างในด้านของพฤตินัย แต่ด้านนิตินัยยังไม่ได้เปิดรับ ข้อที่สองคือ มีงานวิจัยที่เราเก็บข้อมูลมาเยอะมากว่า กลุ่ม LGBTQ+ ที่ต่างประเทศเค้าอยากจะมาเที่ยวประเทศไทย ติด Top 5 ของโลก และ LGBTQ+ มีพฤติกรรมผู้บริโภคคือเป็นคนที่มีกำลังซื้อกำลังจ่าย ต๊อกแต๊ก มองว่า ถ้ากฎหมายบ้านเรามันผลักดันกัน หรือมันมีการปรับเปลี่ยน มันมีการสมรสเท่าเทียม หรือในเรื่องคำนำหน้า มันจะทำให้เม็ดเงินเข้าประเทศชาติเราได้ แล้วเราทำแคมเปญสื่อสารออกไปให้ต่างชาติได้รับรู้ว่าประเทศไทยมีกฎหมายรองรับ ไม่บูลลี่ ไม่เหยียดหยาม ไม่อันตราย ไม่ทำร้ายกลุ่ม LGBTQ+ ต๊อกแต๊ก เชื่อว่าต่างชาติเค้ามาประเทศไทยแน่นอนแล้วที่ผ่านมา ต๊อกแต๊ก ก็ยอมรับในฐานะ LGBTQ+ คนหนึ่ง เวลาที่เราไปพูดเรื่องกฎหมาย หรือเราจะผลักดันอะไรก็แล้วแต่ เราไม่เคยไปพูดในมุมการเปลี่ยนให้เกิดภาพใหญ่ในประเทศ เราจะไปพูดในมุมของเรา เช่น ฉันใช้สวัสดิการของแฟนไม่ได้ ฉันไปต่างประเทศแล้วโดน ตม.จับ ครอบครัวไม่ยอมรับ แต่ในวันที่ ต๊อกแต๊ก พูด เราพูดในมุมของที่ว่า ปัจจุบันนี้การแพทย์มันไปไกลมาก ทรานส์เจนเดอร์ก็สวยมากขึ้น และ ต๊อกแต๊ก เก็บข่าวเยอะมาก ต๊อกบอกเลยว่าปัจจุบันนี้ชายจริงหญิงแท้แต่งงานเป็นสามีภรรยากันถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าวันหนึ่งสามีนอกใจภรรยาไปเป็นชู้กันกับทรานส์เจนเดอร์ แต่กฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1148 มันระบุแค่ว่า ชายใดนอกใจภรรยาไปเป็นชู้สาวกับหญิงอื่น ดังนั้นกรณีข้างต้นไม่สามารถเอาผิดทรานส์เจนเดอร์ได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เปลี่ยนกฎเป็น บุคคลใดบุคคลหนึ่งนอกใจคู่สมรส ไปมีชู้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง คุณเอาผิดได้เลย เพราะว่าไม่ว่าเพศไหนก็แล้วแต่ นอกใจคือนอกใจ อันนี้คือคุณเอาผิดได้ พอพูดเรื่องนี้ทุกเพศเข้าใจ มันก็เลยกลายเป็นภาพใหญ่ และ ต๊อกแต๊ก ได้เรียนรู้ว่า เวลาเราจะพูดอะไรก็แล้วแต่ มันต้องเกิดผลได้หรือผลเสีย หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงกับภาพใหญ่ มันถึงจะเกิดการผลักดัน ดังนั้น ณ ตอนนี้ สมรสเท่าเทียม ต๊อกแต๊ก กล้าพูดได้เลยว่าผ่านแน่นอน เพราะเค้าทำอย่างประณีต แล้วเค้ามีภาคประชาชน ต้องขอบคุณมากเลยนะคะ ภาคประชาชนก็มาช่วยกันเต็มที่มาก ภาคของสภาผู้แทนราษฎร ตอนนี้ไปอยู่ที่สมาชิกวุฒิสภา ซึ่งมันเหลืออีกวาระเดียวก็จะบรรจุเป็นบังคับใช้แล้ว”สีสัน แรงบันดาลใจ จาก ต๊อกแต๊ก A4“อยากจะฝากน้อง ๆ ที่เป็นหมอดู และคนที่ฟังหมอดูต๊อกแต๊กอยู่ว่า การที่เราให้เกียรติซึ่งกันและกันสำคัญที่สุดเลย นอกจากนี้เราต้องเชื่อมั่น และซื่อสัตย์กับจรรยาบรรณ และวิชาชีพของตัวเอง คนเราเกิดมามีเซ้นส์ได้ เป็นหมอดูได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำงานก็ให้มันพอดีแบบสุจริต คนที่ไปดูดวงก็เหมือนกัน ควรมีสติในทุกอย่าง อย่าไปเชื่ออะไรง่ายเกินไป บางทีอาจจะโดนหลอกได้ ที่เราบอกว่า หมอดูคู่กับหมอเดา แม่หมอก็อยากจะบอกทุกคนว่า ไม่มีใครตอบได้ว่าเราดูดวงแม่นหรือไม่แม่น แต่คนที่ดูดวงไปแล้ว ถึงจะตอบได้ว่ามันใช่หรือมันไม่ใช่ ดังนั้นฟังหมอดูเป็นไกด์ไลน์ชีวิตดีกว่าค่ะ” – ต๊อกแต๊ก A4พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

17 เม.ย. 2024

GREEN HEART

ใช้ชีวิต ลด Food Waste มุมมองความยั่งยืนฉบับ “PEAR is hungry”

นอกเหนือจาก ขยะพลาสติก ขยะอิเล็กทรอนิกส์ ที่กำจัดได้ยาก และยังเป็นปัญหาเรื้อรังแล้ว อีกหนึ่งอย่างที่กำจัดได้ยาก และกลายเป็นปัญหาไม่น้อยเช่นเดียวกัน นั้นคือ ขยะอาหารขยะอาหารคืออะไร ?ขยะอาหาร หรือเศษอาหารเหลือทิ้ง เป็นอีกอย่างที่เราทุกคนนั้นมักสร้างมันขึ้นมาใน ทุกวันหรือหากเราทานอาหารหมดก็ยังมีขยะอาหารที่เกิดขึ้นจากการผลิตอยู่ดี ขยะอาหารแบ่งย่อย เป็น 2 ประเภท คือFood Loss หรือ ขยะอาหารที่เกิดจาก การสูญเสียในขั้นตอนการผลิต การจัดเก็บ การแปรรูป การขนส่ง เช่น การคัดทิ้งผลผลิตที่ไม่ได้คุณภาพ การตัดแต่งวัตถุดิบเพื่อการแปรรูปFood Waste คือ เศษอาหารเหลือจากมื้ออาหาร ทั้งการรับประทานไม่หมด เช่น เศษผักผลไม้ที่ใช้ตกแต่ง เปลือกกุ้ง หอย ปู เปลือกผลไม้ เปลือกไข่ อาหารที่หมดอายุอาหารขยะก็ย่อยสลายได้หนิ แล้วจะเป็นปัญหาได้ยังไง ??แม้ว่าขยะอาหารจะสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติโดยใช้เวลาไม่นานนัก แตกต่างกับ ขยะพลาสติก ที่ต้องใช้ระยะเวลากว่า 500 ปี แต่ด้วยจำนวนของขยะอาหารที่เกิดขึ้นจาก ภาคอุตสาหกรรม และภาคผู้บริโภค แต่ละวันมีปริมาณที่มากมายมหาศาล ทำให้ต้องใช้วิธีกำจัดโดยการ ฝังกลบดิน และเมื่อขยะอาหารเหล่านั้นรวมตัวกันในปริมาณมากจะปล่อย ก๊าซมีเทน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจกถึง 8% ซึ่งเทียบเท่ากับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคคมนาคม และมากกว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากภาคการบินทั่วโลกถึง 4 เท่า เป็นอีกปัญหาที่เราทุกคนมักมองข้าม และควรร่วมมือกันแก้ไข เพื่อรักษ์สิ่งแวดล้อมของเราให้ยั่งยืนสืบไปจะดีกว่าไหม หากการดำเนินชีวิตของเราลด Food Waste ให้ได้มากที่สุด !!วันนี้กรีนเวฟ ได้มาพูดคุยกับคุณ แพร-พิมพ์ลดาไชยปรีชาวิทย์ เจ้าของช่อง “PEAR is hungry” Content Creator สายยั่งยืน ที่จะมาให้ความรู้ และแชร์ประสบการณ์ การใช้ชีวิตอย่าง ลด Food Waste“PEAR is hungry”“ช่อง PEAR is hungry ด้วยความที่แพรเป็นคนชอบกิน แต่เราไม่ใช่ Food Review เราชอบเรื่องราวที่มาของอาหาร ก็เลยเริ่มต้นจากตรงนั้น ทำไปได้สักพักก็เริ่มหยิบสิ่งที่เรา สนใจต่าง ๆ ในชีวิตมารวมอยู่ในช่อง นั่นก็คือเรื่องของความยั่งยืน”“จุดเริ่มต้นที่ทำให้สนใจเรื่องความยั่งยื่นอย่างจริงจัง”“จุดเริ่มต้นเกิดจาก แพรได้ร่วมทริป “Chiang Dao Classroom” ที่มีพี่มล และแพรรี่พายเป็นคนจัด ซึ่งเราจะต้องเข้าป่า 5 วันโดยที่ไม่มีไฟฟ้าและประปา ประสบการณ์ ที่ได้มาเลยคือ เราไปอยู่ต้นน้ำ ดังนั้นวิถีชีวิตคือเข้าไปอยู่กับธรรมชาติ เห็นเลยว่าทุก ๆ อย่างที่เรากระทำ มันมีผลกับธรรมชาติหมดเลย แค่จะสระผม ยาสระผมที่เราใช้ มันจะหลุดติดไปในแม่น้ำ ไหลลงไปปลายน้ำ ระหว่างทางจะมีสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นจะได้รับผลกระทบจากการกระทำของเราไป มันเลยทำให้รู้สึกเลยว่าทุกอย่าง Connect กันเป็นวงจรหมดเลย และท้ายสุด มันก็กลับมากระทบตัวเราด้วย พอเห็นเลยตั้งใจเลยว่า จะใช้ชีวิตให้ลดผลกระทบต่อธรรมชาติ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”“มุมมองปัญหา Food Waste ในประเทศไทย”“ปัญหา Food Waste ในประเทศไทยเป็น ​Invisible Problem ปัญหาที่ ยังมองไม่เห็น เรามักมองว่าขยะอาหารสามารถย่อยสลายตัวเองได้ มันไม่น่ามีปัญหาที่หนักเท่า ขยะพลาสติก แต่ในความเป็นจริง ปัญหาขยะอาหารส่งผลประทบต่อสิ่งแวดล้อม หนักไม่ต่างกัน เพราะเวลาที่ขยะอาหารย่อยสลายตัวเอง จะสามารถสร้างก๊าซมีเทน ที่เป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจก ซึ่งมันส่งผลประทบต่อโลกร้อนโดยตรงยังมี ปัญหาเรื่องเชื้อโรค ปัญหาเรื่องการติดไฟ และอีกเยอะแยะมากมาย เมื่อยังไม่เห็นว่าขยะอาหารเป็นปัญหา ตัวเราจึงสร้างมันโดยไม่รู้ตัว อันที่จริง มีการเก็บสถิติในปี 2567 ว่าคนไทยผลิตขยะอาหาร 146ก.ก. ต่อคน ต่อปี เมื่อเทียบแล้วเหมือน แพร ผลิตตัวแพร ที่เป็นขยะอาหาร 4 คน ต่อปี เยอะมาก ! ! ซึ่งทั้งหมด แพรคิดว่าเกิดจากคน ยังไม่รู้ถึงปัญหาเรื่อง Food Waste ว่ารุนแรงมากแค่ไหน เลยทำให้ปัญหาบานปลายทั้งที่จริง ๆ เราลดความรุนแรงมันได้ด้วยตัวเราเอง““ใช้ชีวิตอย่างไรให้ลด Food Waste”“เราว่ามันทำได้ด้วยการลดตั้งแต่ต้นทาง นั่นคือ กินหมดจาน เป็นแคมเปญ ที่เราทำเมื่อปีที่แล้ว ชวนคนมาลด Food Waste ด้วยการกิน เพียงแค่เรา สั่งพอกินและกินหมดจาน เท่านี้เราก็ลดขยะอาหารได้แล้ว อย่างแพรเองเป็นคนที่กินข้าวน้อย เน้นกับข้าว เน้นผัก เวลาสั่งอาหารก็จะบอกกับร้านเลยว่า ‘ป้าคะ หนูขอข้าวประมาณ 1 ใน 3 จากปกติค่ะ’ เพราะเรารู้ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่ข้าวถูกตักมาไว้ที่เราแล้วเนี่ย ข้าวนั้นจะไปไหนต่อไม่ได้ และตัวเราเองก็กินไม่หมด ทางแก้คือลดปริมาณก่อนเอาเท่าที่เรากินหมดและถ้ายังกินไม่หมดอีก ก็จะพกกล่องใส่กลับบ้าน และเอามาทำเป็น เมนูแปลงร่าง (Leftovers) คือการเอาเมนูเก่ามาทำใหม่ให้อร่อยขึ้น เช่น ข้าวที่เรากินไม่หมดเอากลับมา ทำเมนูข้าวผัด ซึ่งข้าวค้างคืนทำเป็นข้าวผัดอร่อยมาก หรือเพิ่มไอเดียเอามาทำเป็นเมนู ข้าวทอด ข้าวพองก็ได้ หนึ่งในเมนูแปลงร่างที่ทำใน Pear is hungry ที่ชอบมากคือการเอาข้าวเหนียว ที่เหลือจากร้านส้มตำ เอามาทำเป็น โมจิไส้ถั่วแดง แบบญี่ปุ่นเลยนั่นคือสิ่งที่เราอยากสื่อสารผ่านคอนเทนต์ในช่องของเรา เพราะเราอยากให้คนดูได้ไอเดีย ว่าเราใช้ชีวิตแบบลดขยะอาหารได้นะ และแค่คนดูดูเราแล้วเปิดตู้เย็นทำเมนูแปลงร่าง (ลด Food Waste) แค่นี้แพรก็ดีใจมากแล้ว เพราะเราได้เพิ่มนักกำจัด Food Waste มาได้อีก 1 คนแล้วนะ“How To ลด Food Waste แบบฉบับแพรเหรอ? ก็ กินหมดจาน และทำเมนูแปลงร่าง ถ้าไม่รู้ว่าจะทำเมนูอะไรดี เข้ามาที่ช่อง PEAR is hungry ได้เลย 555”อย่างเปลือกไข่ เปลือกผลไม้ที่เราไม่สามารถกินให้หมดได้ละ ?“อย่างที่บ้านแพรทำ คือเอาเศษอาหารเหลือ มาหมักเป็นปุ๋ยชีวภาพ แต่แพรเข้าใจว่า ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถทำได้ ดังนั้นลองดูว่าในสภาพแวดล้อมของเราสามารถทำอะไรได้บ้าง ถ้ามีพื้นที่นำมาฝังดินได้ไหม ถ้าฝังดินไม่ได้ ซื้อเครื่องมือในการทำปุ๋ยได้ไหม ถ้ายังไม่ได้ งั้นเราลองรวบขยะอาหารที่สร้างมาให้เป็นถุงเดียวกัน เพื่อที่เวลาเราทิ้งขยะ เราจะสามารถ แยกขยะได้เลย เพื่อพี่ ๆ ที่เค้าจัดการเรื่องขยะจะสามารถนำขยะที่เราแยกไปจัดการได้ง่ายขึ้น วิธีง่าย ๆ แค่นี้เลย”“ถ้าเราที่เป็นต้นทางแยกขยะ พี่ๆ ที่เค้านำขยะไปจัดการต่อจะสามารถจัดการขยะได้ดีขึ้น จริง ๆ ค่ะ”การลด Food Waste จะทำให้การใช้ชีวิตลำบากขึ้นหรือเปล่า ?“แม้ว่าแพรจะนำเสนอเรื่อง Food Waste ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแพรจะสามารถ ทำมันได้อย่าง 100% ในทุกวัน คือแพรมีเป้าหมายไว้ว่า จะใช้ชีวิตโดยกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด แต่มันก็ต้องไม่กระทบตัวเราเองด้วย ให้มันเฟรนลี่กับตัวเราเอง เพราะว่าปัญหานี้เป็นเรื่องระยะยาว มันไม่ใช่แค่ว่าเราจะทำแบบนี้สัก 3 เดือน หรือ 1 ปี แต่เราจะค่อยๆ ปรับตัวเองให้ทั้งชีวิตของเรา สามาถลดผลกระทบต่อระบบนิเวศได้จริง ๆ เมื่อไหร่ก็ตามถ้าเราฝืน เราจะทำสิ่งนั้นได้ไม่ยาว และปลายทางที่ตั้งใจไว้ก็จะไม่เกิด”“แพรไม่ได้มองปัญหานี้ว่า เป็นการทำความดีหรือไม่ดี แต่แพรว่ามันคือ Norm ปกติ ที่เราทุกคนควรมองเห็นปัญหาและช่วยกันแก้ไข”อยากฝากอะไรให้ผู้คนสนใจปัญหาสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น“หลายคนน่าจะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้แล้ว มันเห็นชัดมาก เรื่องนี้ไม่ใช่ เรื่องของใครคนใดคนนึง ดังนั้นถ้าเรามีความพร้อม สามารถที่จะเลือกใช้ชีวิตได้ ก็อยากจะให้ มาลองใช้ชีวิตที่ไม่กระทบสิ่งแวดล้อมกันไม่จำเป็นต้องเหมือนแพรก็ได้นะ เอาแบบที่ Friendly กับเราและ ​Friendly กับโลกด้วย”ปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่ใช่แค่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องที่เราทุกคนควรร่วมมือกัน แก้ไขอย่างจริงจัง หากทุกคนสนใจ ทางคุณแพรแอบบอกมาว่าเร็ว ๆ นี้จะมีแคมเปญ #กินหมดจาน ซีซั่น 2 จะเป็นรูปแบบไหนอย่างไร อย่าลืมติดตาม และร่วมสนุกกันด้วย อย่าลืมติดตามคุณแพร PEAR is hungry ในทุกช่องทางด้วยนะครับYoutube : PEAR is hungryTokTik : @pearishungryInstagram : pearishungryFackbook : PEAR is hungry..........................................................................Author : MIK_Mikazuki

12 เม.ย. 2024

Club Pride Day Recap

เปิดจุดเปลี่ยนชีวิตที่กลับมารักตัวเองได้ทัน ของ “พั้มกิ้น หิ้วหวี” จากช่างทำผมสุดจึ้ง กับตำนานสุดสะพรึงกินจนแพ้กุ้ง

“หนูภูมิใจตัวเองที่ เอาตัวเองออกมาจากอบายมุขต่าง ๆ ได้ ขอบคุณตัวเองมากที่กลับมารักตัวเองได้ทันเวลาก่อนที่มันจะสายไปมากกว่านี้”ยังคงเป็น Club ที่รวมสีสันของชีวิต พร้อมแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลในในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่ตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญตัวแม่ “พั้มกิ้น หิ้วหวี” จากช่างทำผมสุดจึ้ง สู่ตัวตึงแห่งแก๊งหิ้วหวี ผู้สร้างตำนานสุดสะพรึงกินจนแพ้กุ้ง! กว่าจะมาถึงวันนี้ เธอผ่านมาหลากหลายบททดสอบของชีวิต และมีหลากหลายข้อคิดแรงบันดาลใจ ที่ พั้มกิ้น ได้แชร์ไว้ในรายการด้วยพั้มกิ้น ชื่อนี้ได้แต่ใดมา“รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยตั้งให้ค่ะ ตอนนั้นเรื่อง เกอิชา ดังมาก บวกกับตอนนั้นหนูชอบดื่มแอลกอฮอล์มาก รุ่นพี่ก็เลยตั้งชื่อให้เราว่า พั้มกิ้น ซึ่งชื่อจริง ๆ ของหนูคือ มอส เพราะแม่ชอบ พี่มอส ปฏิภาณ มาก ๆ ตอนนั้นเหมือนแม่จะดูจักรยานสีแดงมากเกิน หนูก็เลยได้ชื่อมอสแล้วหนูก็มีรายการชื่อว่า พั้มกิน ด้วยนะคะ เป็นรายการที่หนูพาไปกินของที่มันน่ากินจริง ๆ ที่กินอันแรกเลยก็คือกินข้าวขาหมู ตาม พี่มาวิน แล้วหนูกินทั้งขาเลย คนถ่ายบอกว่าไม่ได้นะ เธอจะต้องเข้าโรงพยาบาลเลยนะหลังจากกินเสร็จ เธอต้องหยุดกินได้แล้ว แต่หนูก็กินต่อ คลิปนั้นลงวันแรกคนดูล้านคนเลย หนูเลยรู้สึกว่านี่แหละคือสิ่งที่เราทำแล้วประสบความสำเร็จ”กางเกงเอวสูง เอกลักษณสุดจึ้ง ของ พั้มกิ้น หิ้วหวี“หนูชอบใส่กางเกงเอวสูงมาก เน้นแฟชั่นไปเลย เป็นกางเกงจากร้านของรุ่นพี่ เค้าส่งมาให้ใส่ เราก็ใส่เพลิน ๆ หนูเป็นคนที่ถ้าชอบอะไรหนูจะใส่ยาว ๆ ใส่จนคนแซว มันก็เลยเป็นไวรัล ตอนนี้มี 21 ตัว แบบนี้สีนี้เลย หนูจะเอาออกมาใส่ทีละ 10 ตัวแล้วซัก มีคนถามหนูเยอะมากว่าซื้อที่ไหน หนูไม่บอกค่ะ กลัวมันหมด หนูไม่รู้ว่าหนูเอวเท่าไหร่ แต่ว่าหนูใส่กางเกงไซส์ 52 ครั้งแรกที่ใส่ มันจะหายใจไม่ออกหน่อย แต่พอใส่ไปสักพักมันจะเข้าทรงสวย และเพื่อความสวยเราทนได้”ตำนานสุดสะพรึง กินจนแพ้กุ้ง!“ในรายการหนูกินเยอะมาก กินหมูกระทะ กินอาหารตามสั่ง ที่มันน่ากิน แต่ที่หนักสุดคือ หนูแพ้กุ้งแบบขั้นวิกฤต มันเพิ่งจะมาแพ้ตอนที่เริ่มมีชื่อเสียง มีเงินมีทองแล้ว เมื่อก่อนหนูจนมาก หนูก็เก็บเงินแล้วคุยกับ เอแคลร์ ว่าอาทิตย์นี้เรามียอด ไปหาร้านบุฟเฟต์กุ้งกินกันเถอะ แล้วก็ไปกันเมื่อก่อนหนูชอบกินกุ้งมาก หนูกินกุ้งได้ 4-5 กิโลกรัมเลย พอเริ่มมีงานมีชื่อเสียง มีเงินก็ไปซื้อกุ้งกิน จนแพ้แบบตาบวม แล้วก็หายใจไม่ได้ ก็เลยโทรหา พี่มิกซ์ เฉลิมศรี พอโทรติดสิ่งแรกที่เค้าทำคือนั่งหัวเราะประมาณ 2 นาที ซึ่งหนูหายใจไม่ออกนะ แล้วพี่มิกซ์ก็อัดคลิปลงโซเชียล แล้วกลายเป็นไวรัล ทำให้คนรู้จักหนูเยอะขึ้นเพราะคลิปนั้น พอหัวเราะกันเสร็จก็ไปหาหมอ ไปฉีดยา แล้วคุณหมอบอกว่าแพ้กุ้งแล้วนะแต่หนูก็ยังกินกุ้งค่ะ ตอนนั้นหนูพยายามต่อสู้กับมันมาโดยตลอด คือจะมียาแก้แพ้พกไว้เลย มื้อไหนเราทำงานมาเหนื่อยมาก ก็จะขอกินกุ้งสักวันนึง ปรากฏว่าก็แพ้ค่ะ หลัง ๆ หนูกินเป็นกิโลกรัมไม่ได้แล้ว กินได้แค่ตัวเดียว แล้วก็แพ้มาตลอด ปากบวมมาตลอด หลังจากกินกุ้งก็ต้องกินยาค่ะหนูทำ IF ค่ะ คือหนูกิน 20 หยุด 4 หนูนอนทานได้เลย หนูสามารถหลับ ๆ อยู่ แล้วฝันว่าหิวมาก พอตี 2 หนูตื่นหนูก็กดสั่งข้าวเลย ซึ่งในยุคสมัยนี้มันง่ายด้วย เราก็กินแบบปล่อยใจไปเลย หนูเข้าใจแฟนคลับที่คอยเป็นห่วงและเตือนหนูตลอด แต่ว่าหนูเคยทุกข์มาแล้ว ช่วงนี้หนูขอมีความสุขก่อน แล้วหนูมีความสุขกับการกินมาก”ย้อนวันวาน กับความเป็นตัวเอง ที่ต้องถูกปิดกั้น“เมื่อก่อนที่บ้านค่อนข้างจะเซนซิทีฟเรื่องการเป็น LGBTQ+ แล้วเค้าก็พยายามจะปิดกั้นทุกอย่าง เค้าห้ามเราหลาย ๆ อย่าง ไม่ให้ไปเล่นกับผู้หญิง ส่งเราไปเรียนโรงเรียนชายล้วน ตอนแรกหนูอึดอัด ครั้งแรกที่ไปเรียน คือ โรงเรียนปทุมคงคา ซึ่งพอเข้าไปเรียนหนูก็รู้ว่ามันไม่ได้โหดร้ายอย่างที่เราคิด แล้วได้เจอเพื่อนที่เป็นเหมือนเราประมาณเกือบร้อยคน จนรู้สึกว่าตรงนี้แหละคือความสุขของเรา เราอยากจะมาโรงเรียนทุกวัน ไม่อยากอยู่บ้านแล้วหนูพยายามจะเป็นเชียร์ลีดเดอร์ แล้วที่โรงเรียนมีกิจกรรมเยอะ วันภาษาไทย วันวาเลนไทน์ หนูก็จะแต่งหญิง พอคุณป้ารู้ก็เห็นว่าไม่ได้การแล้วต้องย้ายออก ก็เลยพาหนูมาเรียนที่ วิทยาลัยเทคโนโลยีดอนบอสโก เป็นโรงเรียนช่างไปเลย ตอนแรกหนูทำใจไม่ได้ แล้วหนูคือ LGBTQ+ คนเดียวในรุ่นและในโรงเรียน แต่หนูมองทุกอย่างให้เป็นมุมบวก มาที่นี่ฉันจะต้องเป็นดาว ฉันสวยที่สุดในโรงเรียน ฉันอยู่ได้ แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ โชคดีที่หนูได้เพื่อนที่ดี แล้วก็เข้ากับวัฒนธรรมของโรงเรียนช่างได้ง่าย หนูทำหมดทุกกิจกรรม รับรุ่น รับน้อง จนหนูกลายเป็นเจ๊ไปเลย ในเมื่อเราไปไหนไม่ได้แล้ว ก็ต้องปรับตัวเองให้มันเข้ากับสถานการณ์ จนที่แห่งนั้นกลายเป็นความสุขครั้งใหม่ของเราจริง ๆ หนูรู้ตัวเองตั้งแต่อนุบาลค่ะ ตอนนั้นจำได้ว่าเราเหมือนจะชอบผู้หญิงบ้าง เรามองว่าเค้าผมยาวจัง เค้าสวยจัง พอขึ้น ป.1 หนูเริ่มไม่ชอบแล้ว เริ่มจะชอบ พี่เคน ธีรเดช ชอบดูดาราชาย ว่าคนนี้น่ารักจังเลย ด้วยความที่เมื่อก่อนบ้านหนูอยู่การท่าเรือ ตรงกรมสรรพสามิต ที่บ้านก็จะมีความคิดที่ว่า การที่เราทำงานประจำ มันจะมีสวัสดิการต่าง ๆ ซึ่งหนูมองว่า หนูอยากจะออกมาเป็นฟรีแลนซ์มากกว่า อยากจะมาเป็นคนสอนเชียร์ลีดเดอร์ มันหาเงินได้นะ แต่เค้าไม่เข้าใจว่ามันหาเงินได้ยังไงพอที่บ้านเค้ากดดันเรา เราก็เลยต่อต้าน แปลกมากเลยหนูปรับกับที่อื่นได้ แต่ที่บ้านหนูไม่ปรับ เหมือนเรายิ่งโดนกด เราก็ยิ่งสู้ เหมือนที่เค้าบอกว่า คนเราจะใส่ใจคนรอบข้างน้อยกว่าคนไกล ๆ อย่างเวลามีการประกวดมิสทิฟฟานี่ หรือมิสยูนิเวิร์ส ที่บ้านก็จะจับเรามาขังไว้ในห้อง เพื่อที่จะไม่ให้ดู แต่ยิ่งขังเราก็ยิ่งสู้ ต่อสู้แบบมันอัตโนมัติเลยค่ะจนหนูเริ่มโตขึ้น หนูก็เริ่มต้องไปแล้ว หนูอยู่ที่บ้านไม่ได้ มันไม่มีทางที่จะมีความสุขได้เลย หนูเลยบอกแม่ว่า ขอออกไปอยู่เองนะแม่ ไม่ต้องห่วง แล้ววันแรกที่เราออกมาไม่มีเงินเลย แต่รู้สึกว่ามีความสุขมาก ไปอยู่หอกับเพื่อน เพื่อนบอกว่าไม่มีไม่เป็นไร อยู่ไปก่อนเดี๋ยวทำงานแล้วก็ค่อยมาช่วยกันจ่ายค่าห้อง จากนั้นหนูก็ไปสอนเชียร์ลีดเดอร์บ้าง ไปอยู่ร้านเช่าชุดบ้าง เริ่มรู้จักพี่ ๆ เริ่มรู้จักลู่ทางต่าง ๆ”ครั้งหนึ่ง บนเส้นทางนางงาม“หนูเคยประกวดนางงาม เป็นเวทีนางงามธิดาช้างต่าง ตอนนั้นหนูมีพี่เลี้ยง แล้วพี่เลี้ยงก็พาไปประกวด ซึ่งเราไม่ได้มองว่าเราสวย เราไปเรียกเสียงหัวเราะ เวทีแรกได้ที่ 2 แล้วก็ไปประกวดต่อที่ อนุสรณ์สถานดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี เวทีใหญ่มาก คนที่ประกวดมีประมาณ 50 คน ปรากฏว่า เวทีนั้นหนูได้ที่ 1 หนูดีใจมากที่ได้มง หลังจากนั้นหนูก็ไม่ประกวดแล้วเพราะว่าเหนื่อย เวทีคนอ้วนจะไม่ค่อยมีตอบคำถาม เวลาประกวดก็จะเน้นเดิน แล้วบนเวทีมันร้อน หนูต้องยืนบนส้นสูงนานมาก พอใส่รองเท้าแล้วต้องเอาสก็อตเทปพันไม่ให้มันหลุด ซึ่งมันเจ็บและทรมาน มันร้อนมาก เหงื่อท่วมเลย หนูก็เลยไม่ประกวดแล้วดีกว่า”ก้าวแรกสู่วงการบันเทิง“อาชีพแรกในวงการบันเทิงของหนูคือแต่งตัวให้ศิลปิน ได้เงินวันละพัน วันละห้าร้อย ตอนนั้นเราดีใจมากเลยที่ได้อยู่ในวงการบันเทิงแล้ว แต่หนูก็ไม่ได้ชอบตรงนั้น ก็เลยมาเป็นช่างทำผม หนูมองว่าหนูมีความสุขวันต่อวัน พอได้อยู่ในที่ที่เรารัก มันก็เลยมีความสุขไปเรื่อย ๆ การได้เงินพันบาท หนูถือว่าหนูรวยแล้ว ประสบความสำเร็จแล้ว หนูมีเงินซื้อข้าวกินด้วยแรงที่หนูเอาไปแลกมาด้วยตัวเอง นี่คือความสำเร็จที่สุดของหนูแล้วเดี๋ยวนี้เด็ก ๆ ชอบเสพสื่อ ก็จะเจอคอนเทนต์แบบฉันมีบ้าน 800 ล้าน หมา 10 ตัวอยู่หน้าบ้าน รถ 7-8 คันอยู่ในนั้น ซึ่งมันเกิดขึ้นได้กับบางคนเท่านั้น ไปเชื่อแบบนั้น 100% ไม่ได้ เราเอาแรงของเราทำงาน แลกเงินมาได้ 500 บาทก็ประสบความสำเร็จแล้ว มีเงินซื้อของที่เราอยากได้ด้วยตัวเอง นี่คือความสำเร็จที่สุดของคน ณ ปัจจุบันที่ต้องคิดให้ได้ พอมีรายได้หนูก็ส่งให้แม่ตลอด เพราะหนูรักแม่มาก น้อยบ้าง เยอะบ้าง งานไหนได้เงินเยอะก็จะพาแม่ไปกินข้าวบ้าง และหนูดีใจแล้วที่ได้พาแม่ไปกินข้าว”จุดเริ่มต้น บนเส้นทางช่างทำผม“ตอนนี้หนูเป็นช่างทำผมให้ศิลปิน หนูอยากจะเป็นช่างทำผมอันดับ 1 หนูไม่ได้เรียนทำผมค่ะ มันเริ่มจากตอนนั้นหนูไม่มีงานทำ ก็เลยมาเป็นผู้ช่วยช่างแต่งหน้าตามพี่ ๆ ไปทำงาน แล้วชอบไปนั่งดูพี่ ๆ ช่างทำผม มันตลบแบบนี้ ม้วนแบบนี้ มันสวยจังเลย จนพี่ ๆ ถามเราว่า จริง ๆ แล้วอยากทำอะไร หนูบอกว่าอยากเป็นช่างทำผม พี่ ๆ ในวงการก็สนับสนุนแล้วหาโอกาสให้หนูไปเป็นผู้ช่วยช่างทำผมคนแรกที่หนูทำผมให้คือ น้ำตาล ชลิตา ก็ได้ความใจดีของน้ำตาลด้วยที่ไว้ใจและมอบโอกาสให้หนู จนเริ่มมีคนรู้จักหนูมากขึ้น จนหนูมาอยู่กับ เอแคลร์ หิ้วหวี เป็นช่างทำผมประจำของเอแคลร์ แล้วก็ได้ทำผม พี่นัท สะบัดแปรง พอมาอยู่ตรงนี้ เหมือนพี่ ๆ เค้าเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว พอมาทำงาน เอแคลร์ ก็บอกหนูตลอดว่า พั้มกิ้น ต้องทำช่อง ทำคลิปนะ หนูก็บอกว่าไม่เอา ฉันอยากจะเป็นช่างผมอันดับ 1 แต่ เอแคลร์ ก็ย้ำว่าหล่อนต้องทำ หนูก็เลยค่อย ๆ เข้ามาในกล้องทีละนิด ๆ จนคนเริ่มแซว คนเริ่มรู้จัก แล้วก็มีวันนี้ที่กลายเป็น พั้มกิ้น หิ้วหวี”เรื่องนี้ ที่ทำให้ พั้มกิ้น เสียน้ำตา“ในช่วงโควิด ตอนนั้นหนูไม่มีงาน แล้วหนูก็เที่ยวเล่นเสเพลจนเงินหมด จนต้องหยุดเที่ยว หยุดปาร์ตี้ หยุดทุกอย่าง นั่นคือสิ่งที่ทำให้หนูร้องไห้ หนูไม่มีเงินกินข้าวแล้ว และหนักถึงขั้นที่ว่าหนูต้องกินน้ำก๊อก มันหนักจนคิดว่าไม่อยู่แล้วดีกว่า ด้วยสถานการณ์มันห่อเหี่ยวไปหมดเลย หนูเลยเอาเงินที่เหลืออยู่ไปซื้อยาแก้แพ้กระปุกเล็กมากระปุกหนึ่ง แล้วกินเข้าไปหมดเลย ปรากฏว่า 8 โมง หนูหิวข้าวแล้วสะดุ้งตื่น พอตื่นขึ้นมาแล้วตัวมันชาไปหมดเลย แล้วก็รู้สึกเวียนหัว ก็เลยเดินลงมาซื้อข้าวกิน ในเมื่อไม่ตาย ชีวิตก็ต้องไปต่อ เมื่อเรามีชีวิตเดียวเดินหน้าต่อดีกว่า ฝืนอีกสักหน่อยเผื่อจะมีโอกาสที่ดี จนเริ่มมีงานเข้ามา หนูขอบคุณตัวเองมากที่ไม่คิดสั้นตั้งแต่ตอนนั้น”กลับมาสู้ต่อ จนได้เป็นพรีเซ็นเตอร์“พอตัดสินใจสู้ต่อ หนูก็มาทำผมให้ เอแคลร์ เหมือนเดิม แล้วนางก็เริ่มปั้นหนู ดันจนมาเจอ พี่ทราย มาดามฟิน ที่ให้หนูไปทำผม ทำไปทำมาพี่ทรายก็เอ็นดูเรา พาเราไปเที่ยวญี่ปุ่น ไปเที่ยวหลากหลายที่ แล้วก็มีอยู่วันหนึ่งเราจะไปทำผมให้เหมือนเดิม แล้วเค้าก็เดินมาจับมือเราบอกว่า พรุ่งนี้พั้มกิ้นไม่ต้องมาทำผมพี่แล้ว แต่มาช่วยพี่ไลฟ์สด แล้วหนูก็มาช่วยไลฟ์สดจนได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ ต้องบอกว่ามันไปเรื่อยเลยชีวิตหนู”พั้มกิ้น กับชีวิตที่เคยหลงผิด“บทเรียนครั้งนั้นมันหนักมากสำหรับหนู ตอนนั้นหนูคิดว่าไปลองซักหน่อย อาจจะไม่ได้เสียหายอะไร เพราะว่าตอนนั้นหนูเจอเรื่องราววิกฤติที่มันแย่มาก ๆ มันเกิดก่อนช่วงโควิดอีกค่ะ และคิดว่ายาเสพติดคงจะช่วยเราได้ มันเหมือนไปยืมความสุขมาใช้ พอเราลองสัมผัสมันแล้วรู้สึกว่ามีความสุข เราไม่ต้องคิดถึงเรื่องวันวานเลย จนหนูถลำลึกไปเรื่อย ๆ จนเงินหมด เงินเก็บที่มีหลายแสนหมดเพราะยาเสพติดหนูติดแล้วก็ถลำลึกจนเราไม่รู้ตัว งานเริ่มหาย เพื่อนเริ่มไม่มี หนูไม่ฟังใครเลย ไม่อยากไปทำงาน อยากจะอยู่แต่บ้าน อยากจะอยู่แต่ห้อง อยากจะใช้แต่ยาเสพติด เรากลายเป็นใครก็ไม่รู้ไปเลย ซึ่งมันอันตรายมาก จนถึงขั้นหนูมีภาวะซึมเศร้า เลยพยายามสู้มาด้วยตัวเอง แล้วก็หาวิธีการเลิกในวิธีต่าง ๆ ฟังแล้วก็ดูสื่อให้มันหลอน พออยากจะใช้ยาก็หาอะไรดูให้รู้สึกว่าไม่ได้นะ ถ้าใช้ต่อไปเราจะเละเทะไปแค่ไหน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป หนูจะต้องไปนอนข้างถนนแน่ ๆ ก็หักดิบได้เองเลยหนูกลับตัวมาได้ เพราะเพื่อน ๆ ช่วงนั้นมันมีพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ทำให้เพื่อน ๆ รู้ว่าหนูเป็นหนักแล้ว เพราะหนูชอบโพสต์ว่าอยากตาย อยากฆ่าตัวตาย ทำให้คนที่ติดตามเราเลิกติดตามไปเรื่อย ๆ เพื่อนหลายคนก็แซว แต่ เอแคลร์ ไม่แซวอะไรเลย นางเป็นห่วงอยู่ห่าง ๆ คอยเรียกไปทำผม เพื่อที่จะเรียกให้ไปหา แล้วสังเกตว่าหนูเลิกแล้วแน่นะจากนั้นหนูก็อยู่เบื้องหลัง คอยทำผมมาเรื่อย ๆ ก็เริ่มขยับขึ้นมาเป็นไมโครอินฟลูเอ็นเซอร์ รับงานลูกค้าเอาเราไปถ่ายคลิป โชคดีที่พี่ ๆ หิ้วหวี เป็นเหมือนแสงสว่างของหนูเลย คือถ้าไม่มีพวกเค้าเหล่านี้ ทุกคนก็คงจะไม่รู้จักหนู ต้องขอบคุณมาก ๆ เลย”ความในใจจาก พั้มกิ้น ที่อยากจะบอกกับคนสำคัญคนนี้“เอแคลร์ เป็นคนที่ไม่ได้ชมให้รู้ พวกหนูจะไม่ได้ชอบชมกัน แต่จะให้กำลังใจทางอ้อม ซึ่ง เอแคลร์ เป็นเพื่อนที่หนูรักที่สุดตอนนี้ เพราะนางดันหนูทุกทาง ให้หนูได้มีวันนี้ จะบอกว่าขอบคุณเอแคลร์ มาก ๆ ที่ทำให้เรามีทุกวันนี้ หนูรักเพื่อนคนนี้มาก มันรักโดยอัตโนมัติ สมมติถ้าเราไปไหนมาไหนด้วยกัน แล้วมีคนที่จะมาทำอะไรไม่ดีใส่เอแคลร์ หนูสามารถพุ่งไปหาคนนั้นได้โดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ และสามารถตายแทนได้เลย”คอมเมนต์เชิงลบ ที่ไม่กระทบจิตใจแล้ว“แรก ๆ หนูจะโดนคอมเมนต์ว่าเบาหน่อยได้ไหม เสียงดังทำไม ซึ่งหนูก็คุมตัวเองไม่ได้เรื่องการเสียงดังเวลาไปรายการ แต่พอหนูเข้ามาย้อนคิด ก็เห็นว่าคนที่มาคอมเมนต์เป็นแอ็คเคาท์หลุม เราไม่เจอเค้าอยู่แล้ว หนูก็เลยคอมเมนต์กลับว่า ขอบคุณค่ะ น่ารักมาก ฝากผลงานด้วยนะ คอมเมนต์มาก็คอมเมนต์กลับ หนูไม่ได้สนใจอยู่แล้วแล้วก็จะมีหลายคนที่คอมเมนต์เพื่อปรึกษา เช่น ที่บ้านหนูไม่ยอมรับเลยทำยังไงดี หนูก็จะบอกว่า สู้ ๆ ค่ะ เป็นกำลังใจให้นะ ลองเปลี่ยนความคิดตัวเองดูไหม ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวเราว่าเราจะไปเอาก้อนตรงนั้นมาไว้ที่หัวเรามากน้อยแค่ไหน ทำให้ตัวเองมีความสุขไปวันต่อวันนะคนดี ซึ่งหนูให้คำปรึกษาได้ และในอนาคต หนูอยากทำรายการทอล์ค หนูอยากฟังอยากคุยกับคน อย่าง พี่อ้อย พี่ก็อตจิ พี่สุทธินาถ ทองชื่น อย่างพี่อ้อย เวลาจัดรายการ เวลาคนมีเรื่องเศร้า ๆ เข้ามาปรึกษา พอหลังจบรายการเค้าจัดการกับตัวเองยังไง หนูก็เลยอยากมีรายการทอล์ค อยากคุยกับผู้คนอื่น ๆ ค่ะ”เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ พั้มกิ้น หิ้วหวี“ตอนนี้มีคนคุยเป็นคนนอกวงการ ตอนนี้ชอบเพื่อนอยู่ชื่อเก้า จีบเก้าอยู่ แต่เก้าบอกว่ารออีก 2 ปี ถ้าไม่มีใครเดี๋ยวมาเป็นแฟนกัน ซึ่งเก้าคืออยู่ในกลุ่มหิ้วหวีเหมือนกัน น้องเก้าน่ารัก หนูชอบคนที่เด็กกว่า แล้วหน้าตาน่ารัก ก่อนหน้านี้หนูมีแฟนค่ะ เป็น LGBTQ+ เหมือนกัน เค้าเป็นทอม ที่อยู่ด้วยกันแล้วเข้าใจกัน แต่สุดท้ายก็เลิกกัน หนูก็เสียใจวันเดียวเลย ไม่มีล้มค่ะเรื่องนี้ ไม่มีอะไรล้มหนูได้ นอกจากหนูหิว ไม่มีผู้ชายไม่เป็นไร ไม่มีความรักไม่เป็นไรเลย ให้หนูอิ่มให้หนูได้กิน หนูไม่ซีเรียสเลยค่ะเรื่องความรัก”ความภูมิใจ ของ พั้มกิ้น หิ้วหวี“หนูภูมิใจที่เอาตัวเองออกมาจากอบายมุขต่าง ๆ ได้ ขอบคุณตัวเองมากที่กลับมารักตัวเองได้ทันเวลาก่อนที่มันจะสายไปมากกว่านี้ และหนูภูมิใจตรงที่ว่า หนูเคยทำผิดพลาดกับหลาย ๆ คน แล้วพอมาอยู่ตรงนี้ หนูก็ไม่ต้องไปป่าวประกาศว่าหนูเป็นคนดีแล้ว หนูทำตัวเองให้คนอื่นได้เห็นว่า เรามีวันนี้ได้แล้วนะ เรามีลูกค้าที่รักเรา แสดงว่าเราเป็นคนดีแล้วจริง ๆ นี่คือสิ่งที่หนูภาคภูมิใจในตัวเองที่สุด”สีสัน แรงบันดาลใจ จาก พั้มกิ้น หิ้วหวี“คนที่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด อยากให้ลองตั้งสติ คิดให้มาก คิดถึงคนรอบข้างให้เยอะ ๆ และคิดถึงตัวเองในอนาคตด้วย และใครที่กำลังจะไปยุ่ง อย่าไปยุ่งเลยนะคะ มันอันตรายมาก ๆ ไม่ว่าคุณจะเคยลองครั้งสองครั้งแล้วบอกว่าไม่ติด มันไม่จริง มันคือยาเสพติด มันจะทำลายทุกอย่างในชีวิตเรา ไม่เคยมีใครได้ดีจากยาเสพติดเลยแม้แต่คนเดียว มันคือการยืมความสุขในอนาคตมาใช้ วันนี้เรามีความสุข แต่พอมันหมดตรงนั้นไป เราจะทุกข์มาก ๆ เลยนะคะ” - พั้มกิ้น หิ้วหวีพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

11 เม.ย. 2024

GREEN HEART

Songkarn Day สาดน้ำใจ ใส่ใจโลก

ถ้าพูดถึงในช่วงเทศกาลสงกรานต์ทุกคนคิดถึงอะไรกันเอ่ย ?เชื่อว่าหลายคนอาจจะกำลังเตรียมตัววางแผนในการกลับบ้าน วางแผนเที่ยวในช่วงวันหยุดยาวแต่ขึ้นชื่อว่าสงกรานต์เราจะไม่เล่นน้ำได้เหรอ ยิ่งช่วงซัมเมอร์หน้าร้อนแบบนี้เราก็ต้องออกไปเล่นน้ำเพื่อคลายร้อนอยู่แล้วสิ แต่หลายคนอาจจะลืมไปว่าการสาดน้ำในวันสงกรานต์เราต้องสูญเสียน้ำไปเยอะขนาดไหนแล้วมันจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่เนื่องจากช่วงสงกรานต์ ผู้คนจากทั่วโลกเดินทางมาไทยช่วงหน้าร้อนนี้ ก็เพื่อมาสนุกกับเทศกาลสงกรานต์ แต่รู้หรือไม่ จากสถิติการใช้น้ำขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่า ใน 1 วัน คนเราใช้น้ำประมาณ 200 ลิตรต่อวันแต่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์นั้นเราใช้น้ำมากกว่าปกติถึง 3 เท่าเลยทีเดียว ซึ่งปัจจุบันโลกของเรากำลังเผชิญกับปัญหาโลกร้อนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ภัยแล้ง” ทำให้หลายพื้นที่เกิดปัญหาในการขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้แต่อย่างไรก็ตามการเล่นน้ำถือเป็นเอกลักษณ์ในวันสงกรานต์ เราเลยอยากแนะนำวิธีการเล่นน้ำในช่วงเทศกาลสงกรานต์ นอกจากยังได้รักษาประเพณีไทยและก็ยังได้รักโลกไปพร้อม ๆ กันด้วย1.ใช้ขันใบเล็ก ๆในการสาดน้ำแทนการใช้กระบอกฉีดน้ำอันใหญ่2.เปลี่ยนจากการเล่นหรือสาดน้ำบนถนนมาเล่นน้ำตามพื้นที่ธรรมชาติ อาจจะเป็นพื้นที่ที่มีต้นไม้ สนามหญ้า ต้นไม้ก็จะได้ประโยชน์จากน้ำที่เราเล่นกัน3. เล่นน้ำในสระน้ำ หากใครไม่อยากเดินทางก็อาจจะซื้อบ่อน้ำเป่าลมมาเล่นกันในบ้าน แช่น้ำในบ่อลม เพื่อคลายร้อนก็ได้เหมือนกัน4.เล่นน้ำตามแหล่งธรรมชาติ เช่น น้ำตก ลำธาร อุทยานต่างๆ เป็นต้น การเล่นน้ำตามแหล่งธรรมชาติไม่ว่าเราจะใช้น้ำเท่าไหร่มันก็จะไหลเวียนกลับสู่ธรรมชาติ แต่ก็อย่าลืมรักษาความสะอาดกันด้วยนะ..........................................................................................เป็นยังไงกันบ้างวิธีการเล่นน้ำสงกรานต์แบบไม่ทำลายธรรมชาติ ประเพณีไทยเป็นสิ่งสวยงามอยากให้ทุกคนอนุรักษ์ไว้แต่ เราก็ต้องไม่ลืมเรื่องคุณค่าของทรัพยากรเหมือนกัน หากทุกคนตระหนักถึงคุณค่า เราจะได้รู้จักการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าที่สุดที่มา : https://www.seub.or.th/bloging/knowledge/2023-106/

11 เม.ย. 2024

HEALTHY LIFESTYLE

ยีนส์ทรงนี้ ดีกับหุ่นไหมนะ

สวัสดีสาว ๆ วันนี้เราจะมาพูดถึงกางเกงยอดฮิตที่ทุกบ้านต้องมี นั่นก็คือ “กางเกงยีนส์”เชื่อว่าทุกคนต้องมีกางเกงยีนส์กันอยู่แล้ว แต่บางคนคงเลือกที่จะพับเก็บเข้าตู้ไปเพราะอาจจะคิดว่าหุ่นเราไม่เหมาะกับกางเกงยีนส์ ใส่แล้วไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง หรือบางคนอยากใส่กางเกงยีนส์แต่ไม่รู้ว่ากางเกงยีนส์แบบไหนจะเหมาะกับเรานะ วันนี้เรามีคำตอบมาให้เรามาเริ่มกันที่เช็ครูปร่างตัวเองกันว่าหุ่นเราเป็นทรงไหนกันนะขอบคุณรูปภาพจากเว็บไซต์ : https://i.pinimg.com1.หุ่นทรงแอปเปิ้ล ( Apple Shape ) ลักษณะคือมีรูปร่างเป็นทรงกว้าง หน้าอก เอว สะโพกมีขนาดเท่ากัน2.หุ่นทรงลูกแพร์ ( Pear Shape ) ลักษณะคือช่วงบนเล็กกว่าช่วงล่าง เอวเล็ก แต่มีสะโพกและต้นขา3.หุ่นทรงสามเหลี่ยมคว่ำ (Triangle Shape) ลักษณะคือช่วงบนใหญ่กว่าช่วงล่าง ไหล่กว้าง แต่ช่วงสะโพกจะมีขนาดเล็ก4.หุ่นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า (Rectangle Shape) ลักษณะคือช่วงบนและล่างมีขนาดเท่ากันไม่มีเอว รูปร่างตรง5.หุ่นทรงนาฬิกาทราย (Hourglass Shape) ลักษณะคือมีความสมดุลระหว่างช่วงบนและช่วงล่าง เอวคอด ดูมีอก มีสะโพกเมื่อทุกคนรู้จักรูปร่างตัวเองแล้วต่อไปเรามาเลือกกางเกงยีนส์กันดีกว่ากางเกงยีนส์ที่เหมาะสำหรับหุ่นแอปเปิ้ลทรงขากระบอกใหญ่ , ทรงขาบาน,ทรงขาม้า-ควรเน้นกางเกงยีนส์เอวสูงหรือกางเกงยีนส์ที่มีช่วงขอบเอวกว้าง เพราะขอบเอวกว้างๆนั้นจะช่วยในการเก็บหน้าท้องให้เข้ารูปได้ดีมากขึ้น-ไม่ควรกางเกงยีนส์ที่บีบช่วงขามาก ๆ อย่างเช่นกางเกงยีนส์ทรงสกินนี่ เพราะการที่ใส่กางเกงยีนส์ที่บีบช่วงขา จะทำให้ลำตัวดูใหญ่ขึ้นกางเกงยีนส์ที่เหมาะสำหรับหุ่นลูกแพร์ทรงขากระบอกใหญ่ , ทรงขาบาน,ทรงขาม้า-ควรเน้นกางเกงยีนส์สีทึบหรือสีเข้ม เพราะจะช่วยอำพรางสะโพกและเลือกกางเกงยีนส์ที่ช่วยกระชับสะโพกได้ดี อย่างกางเกงยีนส์เอวปกติหรือเอวสูง เพราะเก็บสะโพกได้ดีและเอวดูเล็กลง-ไม่ควรเลือกกางเกงยีนส์ที่รัดต้นขาหรือรัดรูปร่าง เช่น ทรงสกินนี่ เพราะจะทำให้ต้นขาและสะโพกชัดเกินไปกางเกงยีนส์ที่เหมาะสำหรับหุ่นสามเหลี่ยมคว่ำทรงขาม้า,ทรงบอย,ทรงขาบาน,ทรงขากระดิ่ง-ควรเลือกกางเกงยีนส์ที่มีสีอ่อนกว่าเสื้อ เพราะจะช่วยทำให้สะโพกออกมาดูเด่นมากขึ้น และสวมเสื้อที่สีเข้มเพราะว่าจะช่วยอำพรางไหล่ที่กว้างของเราได้-ไม่ควรเลือกกางเกงยีนส์ทรงสกินนี่เพราะจะทำให้สะโพกดูแคบกว่าเดิมกางเกงยีนส์ที่เหมาะสำหรับหุ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าทรงสกินนี่, ทรงขาม้า, ทรงกระบอกเล็ก, ทรงขาบาน-ควรเลือกกางเกงยีนส์เอวปกติหรือเอวต่ำและกางเกงยีนส์ควรมีลูกเล่นตรงช่วงสะโพกเพราะจะช่วยเพิ่ม volume ให้กับสะโพก ทำให้เราดูมีสะโพกมากขึ้น-ไม่ควรใส่กางเกงยีนส์เอวสูง จะทำให้เอวเด่นเกิน และทำให้เราดูไม่มีส่วนเว้าโค้งกางเกงยีนส์ที่เหมาะสำหรับหุ่นนาฬิกาทรายทรงสกินนี่,ทรงขาม้า,ทรงกระบอกเล็ก,ทรงขาบาน,ทรงกระบอกใหญ่-ควรใส่กางเกงยีนส์เอวปกติหรือเอวสูง จะช่วยทำให้ขาดูยาวสวยขึ้น และกางเกงยีนส์เอวสูงจะช่วยให้ช่วงเอวเห็นชัดขึ้น จากที่เอวคอดอยู่แล้วก็จะทำให้เอวเราชัดกว่าเดิม-ไม่ควรสวมกางเกงยีนส์เอวต่ำ เพราะจะทำให้สะโพกดูใหญ่และทำให้ขาสั้นลงอีกด้วย...............................................................................ถ้าใครอ่านมาถึงตรงนี้แล้วลิสต์กันไว้หรือยังว่ากางเกงยีนส์ทรงไหนเหมาะกับเราบ้าง นอกจากจะได้กางเกงที่เหมาะกับแล้วเรายังได้เช็ครูปร่างตัวเองอีกด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าเราจะมีรูปร่างแบบไหน ชอบเสื้อผ้าแบบไหน ขอแค่เรามั่นใจในตัวเองมั่นใจกับสิ่งที่เสื้อผ้าที่เราใส่แค่นี้ก็พอแล้วว Have a good day นะคะ :)

10 เม.ย. 2024

GREEN HEART

อาหาร “รสมือม่า”

“จะดีแค่ไหน ถ้าเราได้กินอาหารฝีมืออาม่าทุกๆวัน”ยังจำครั้งสุดท้ายที่เราได้กินอาหารจากฝีมือคนในบ้านเราได้หรือเปล่า กลิ่นอาหารที่หอมฉุยออกจากในครัว เสียงเครื่องครัวที่กระทบกัน และควันขโมงเหล่านั้นได้มั้ย หรือ จำตอนที่ผู้ใหญ่ตะโกนเรียกเราเข้าไปช่วยเป็นลูกมือในครัว แล้วเราก็ทำอะไรเก้ๆกังๆ ไม่ถูกใจพวกเค้าซะทุกทีและสุดท้ายพวกเขาก็เดินออกจากในครัว พร้อมจานอาหารใบเขื่อง ยกมาวางตรงหน้าเด็กน้อย มันช่างดูใหญ่โต อลังการ นั่นอาหารที่เราได้มีส่วนช่วยนี่ ฉันคิดอาหารที่ปรุงสำเร็จ ไอร้อนลอย ขึ้นมา ฉันมองมันด้วยสายตาเปล่งประกาย มันน่ามหัศจรรย์เนอะ!...............................................................................................เวลาที่เราได้กินอาหารจากคนที่เรารัก มันไม่ใช่แค่ความอร่อย แต่มันมีความพิเศษ มันเป็นรสชาติที่คุ้นเคย อบอุ่น อิ่มใจ ปลอดภัย และเต็มไปด้วยความทรงจำ บรรยากาศแบบนี้จะหวนคืนกลับมา เมื่อร้านอาหาร Enoteca Maria ที่ตั้งอยู่บนเกาะ Staten Island นิวยอร์ค ร้านอาหารอิตาเลียนที่มีความพิเศษ โดยมีไฮไลท์อยู่ที่ ‘นอนน่า“ หรือ ”คุณยาย หรือ อาม่า” (ในภาษาอิตาเลียน) ที่จะผลัดเปลี่ยน หมุนเวียนมาทำอาหารให้แขกได้ลิ้มรสกันหลากหลายโดยอาม่าเหล่านี้มาจากทุกชนชาติที่อาศัยอยู่ในนิวยอร์ค มีตั้งแต่ อาเซอร์ไบจัน อุซเบกีสถาน เปรู ญี่ปุ่น อียิปต์ ฮ่องกง ศรีลังกา อาร์เจนตินา ฯลฯคุณโจ สการาเวลล่า เจ้าของร้านให้สัมภาษณ์ว่า แรงบันดาลใจในการสร้างครัวอาหารฝีมือม่า มาจากการที่เจ้าของร้านสูญเสีย คุณแม่ และ คุณยายเชื้อสายอิตาเลียนไป จึงได้เปิดร้านอาหารในปี 2007 และตั้งชื่อร้านว่า ”Maria” ตามคุณแม่ เพื่อเยี่ยวจิตใจตัวเองหลังจากเปิดร้านไปได้ซักพัก ด้วยความที่ไม่มีประสบการณ์การเปิดธุรกิจอาหารมาก่อน การบริหารงานค่อนข้างเป็นมวยวัด แบบหลับหูหลับตาชกเลยทีเดียว แต่ธุรกิจก็เริ่มมีทิศทางมากขึ้นเมื่อมีลูกค้าคอเดียวกัน ที่คิดถึงรสมือแม่ รสมือม่า แบบดั้งเดิม คนก็เริ่มแห่มาที่ร้านอาหารที่มีเพียง 30 โต๊ะ เพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันเปิดแค่ 3 วันต่อสัปดาห์ คือ ศุกร์บ่าย 3 เสาร์/อาทิตย์เปิดบ่ายโมง และปิดรับลูกค้าก่อน ทุ่มครึ่ง เพราะอาม่าจะได้กลับบ้านไม่ดึกตอนเริ่มต้น โจรวบรวมแม่ๆ เข้ามาทำอาหาร ก็เกณฑ์แม่ๆ ม่าๆ ชาวอิตาเลียนมาทำครัวกัน แล้วก็พบว่า ถ้าเอาแม่ๆจากประเทศเดียวกัน ก็จะตีกัน เพราะแม่ๆแต่ละคนมีสูตรส่วนตัว ทำให้มีการประชันกัน แต่ถ้าเอาแม่ๆ จากหลายประเทศมารวมกัน จะไม่มีปัญหานี้ และก็เป็นประโยชน์สูงสุดกับลูกค้าโดยส่วนใหญ่ ม่าที่เข้ามาทำอาหาร มักอยู่ตัวคนเดียว สามีเสียไปแล้ว ลูกโตแล้ว ย้ายไปที่อื่น เลยทำให้อาม่ามีเวลาว่าง โดยม่าที่มาทำอาหาร คือคนที่อาศัยอยู่ในนิวยอร์คซะส่วนใหญ่ บางคนมาทุก 2-3 สัปดาห์ หรือ แล้วแต่เวลาว่าง มีม่าจากไต้หวันที่บินมาทำอาหารให้ปีละครั้ง ซึ่งตอนนี้มีคนขอเข้ามาทำอาหารที่ร้านเยอะมาก และทางร้านหวังว่าจะนำม่า จากประเทศต่างๆมาปรุงอาหารให้แขกได้ในอนาคตทำงานกับม่า ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะม่าแต่ละคนมีสูตรลับส่วนตัว ที่ไม่เหมือนกัน บางคนไม่ชอบเครื่องแกงสำเร็จรูป ต้องตำเอง ทำใหม่ๆ ตั้งแต่ต้น บางคนขนวัตถุดิบเข้ามาเอง เพราะทางร้านเตรียมให้ไม่ถูกใจม่า บางคนให้ขับรถออกไปไกลเพื่อไปตามหาวัตถุดิบที่เฉพาะเจาะจงมากๆ ซึ่งร้านก็ทำให้และเพื่อเป็นการช่วยม่า เตรียมอาหารสำหรับแขกในแต่ละคืน ทางร้านก็เปิดรับอาสาสมัครที่จะมาเรียนทำอาหารฟรีกับน่า ในแต่ละวันด้วย สนใจก็สมัครได้ตรงนี้เลย https://www.enotecamaria.com/wp/nonnas-in-training-registration-faq/"ทำงานกับม่า เป็นการทำงานที่อบอุ่นหัวใจสำหรับผม เราได้แชร์อาหาร เรื่องราวต่างๆ ม่าก็น่ารักมาก กอดผม กอดทีมงาน กอดคนที่มากินอาหารด้วยนะ"จริงๆ แล้วผมไม่ได้สนใจทำร้านอาหารสักเท่าไหร่ ผมสนใจ การถ่ายทอดความรู้ จากรุ่นสู่รุ่น จากวัฒนธรรมหนึ่งไปอีกวัฒนธรรมนึง มากกว่า ผมไม่ได้มองว่าสิ่งที่ผมทำเป็นธุรกิจร้านอาหาร ผมมองมันเป็นโครงการๆนึงมากกว่า ที่มีผลลัพธ์ออกมาเป็นอาหาร แล้วคนก็ให้เงินเราเพราะอาหาร เราก็เอาเงินนั้นมาทำโครงการต่อคุณโจฝากร้านไว้ด้วยว่า ใครสนใจสนับสนุนโครงการ สามารถเข้าไปสั่งของเป็นกำลังใจให้กับม่านานานชาติได้ที่นี่: https://www.enotecamaria.com/wp/nonnas-of-the-world-products/และที่สำคัญถ้าม่า ย่า ยาย ของคุณมีอาหารสูตรลับที่คุณอยากฝากไว้ให้กับโลก สามารถแชร์สูตรลับอาหาร ที่โจได้รวบรวมไว้จากหลากหลายประเทศไว้ได้ที่นี่ด้วย http://nonnasoftheworld.com/Sources :- Enotecamaria.com- Travel Leisure- People

05 เม.ย. 2024

Club Pride Day Recap

ยังเป็นพื้นที่ ที่เปิดโอกาสให้ได้คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่ ไปพร้อมกับ 2 ดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” สำหรับรายการ Club Pride Day ที่ได้มีโอกาสต้อนรับแขกรับเชิญสุดพิเศษ “เพียว เอกพันธ์” ตัวแม่อาร์แอนด์บีเมืองไทย ที่หลงใหลในเพลงสากล ผู้ลบคำสบประมาทที่มองว่าไม่ง่ายที่นักร้องบนเวทีประกวด The Voice จะเอาชนะด้วยเพลงสากล แต่ เพียว เอกพันธ์ สามารถทำได้ สีสันชีวิตของเขาผ่านอะไรมาบ้าง รวมถึงมีข้อคิดแรงบันดาลใจดี ๆ ที่ได้แชร์ไว้ในรายการด้วยเพียว เอกพันธ์ กับความฝันที่อยากเป็นนักร้องมาตั้งแต่เด็ก“เพียวร้องเพลงเป็นตั้งแต่เด็กเลยค่ะ แต่ก่อนเป็นเด็กบ้านนอกเลี้ยงวัว ซึ่งมีสิ่งที่สร้างความสุขอย่างเดียวก็คือ เสียงเพลงเสียงดนตรีที่เปิดไว้ในบ้าน หนูก็เลยรู้สึกว่าอยากร้องเพลง แล้วก็ชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก ตอนเด็ก ๆ ที่บ้านจะชอบเปิดเพลงของแม่ผึ้ง พุ่มพวง เพลงพี่ทาทา ยัง เพลงพี่เบิร์ด ธงไชย หนูก็จะซึมซับมา เพราะฟังมาตั้งแต่เด็ก แต่คนที่ชอบจริง ๆ ก็คือหนังที่ วิตนีย์ ฮิวสตัน แสดงคือเรื่อง ซินเดอเรลล่า คุณแม่ใส่ชุดแบบรัดรูป แล้วก็ผมใหญ่ ๆ พอหนูดูแล้วรู้สึกว่าอยากเป็นแบบคุณแม่บ้าง แต่ตอนนั้นพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยพอได้เรียนภาษาอังกฤษ หนูก็กลายเป็นเด็กที่พูดภาษาอังกฤษได้ดี แล้วก็เรียนได้เกรด 4 เลยตอนเรียนม.ปลาย พอแม่รู้ก็เลยอยากให้หนูเป็นไกด์ เพราะจะได้ใช้ภาษา แต่หนูก็เลือกสอบเข้าวิทยาลัยดนตรี วิชาเอกดนตรีแจ๊สและการแสดงเชิงปฎิภาณ เพราะไม่อยากเป็นไกด์ หัวใจฉันคือจะไปเป็นดาวเท่านั้นค่ะแม่”ด.ช. เอกพันธ์ กับตัวตนที่ต้องเก็บซ่อน“เพียวใช้เวลา 27 ปี จนประกวด The Voice ถึงจะได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ ซึ่งก่อนหน้านั้นเวลาที่เพียวประกวดอื่น ๆ ก็จะต้องแอ๊บแมน เพราะสังคมตอนนั้นกับตอนนี้มันต่างกันมาก แล้วก็ตอนเป็นเด็ก แม่ก็จะห้ามเป็นตุ๊ด เพราะแม่มีภาพจำที่ไม่ดีเกี่ยวกับการเป็นกะเทย แล้วกลัวว่าถ้าเราไปเป็นกะเทยแล้วชีวิตไม่ดี กลัวจะไปติดยา แล้วก็ห้ามไม่ให้เพียวเป็นตุ๊ดตอนนั้นเพียวคิดว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งสิ่งที่ทำให้รู้สึกดีขึ้นก็คือ การร้องเพลง การฟังเพลงและ การเต้น เมื่อก่อนตอนเด็ก ที่บ้านจะเป็นบ้านเย็บผ้าแบบเย็บจักร แล้วก็จะมีผ้าเยอะ หนูก็จะเอาผ้าไปโรงเรียน เอาไปใส่แล้วก็เต้น พอเพื่อนเห็น เพื่อนก็มาบอกแม่ว่า เพียวมันเอาผ้าไปแต่งหญิงแล้วเป็นกะเทย เต้นแบบผู้หญิงเลย แล้วหนูก็โดนแม่ตีเลย จำได้ว่าตอนนั้นอายุ 10 ขวบ หนูอายคน เพื่อนบ้านและญาติ ๆ ก็จะชอบล้อว่า ลูกเธอมันเป็นกะเทย ทำให้ช่วงวัยเด็ก ตอนกลับบ้านหนูจะเป็นคาแรกเตอร์หนึ่ง พอไปโรงเรียนก็เป็นอีกคาแรกเตอร์หนึ่ง ตอนอยู่ที่โรงเรียนเอาน้ำยาอุทัยทาปาก ทาแป้ง พอถึงบ้านก็รีบลบออก จนเริ่มเป็นเด็กเก็บกด โชคดีที่หนูไปเจอศูนย์ภาษาอังกฤษที่อยู่ใกล้บ้าน ที่มีมิชชันนารีจากกรุงเทพเค้าไปเปิด พอหนูได้ไปเรียนกับพี่ ๆ แล้วก็รู้สึกว่าได้เจอพระเจ้าที่นั่น หนูรู้สึกว่าเราได้เจอสิ่งที่เป็นบ้านของเรา เป็นเซฟโซน เหมือนที่นั่นได้เซฟชีวิตเพียวไว้เลยแต่เพียวก็คิดกับตัวเองว่า เดี๋ยวฉันจะดีให้ดู เพราะว่าแม่ของหนูถึงแม้ว่าเค้าจะตีหรือดุเรา แต่แม่ก็ส่งเสียเพียวเรียนหนังสือ แม่เห็นว่าลูกคนนี้จะไปได้ไกล แต่ตอนเป็นเด็กแม่ไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะคุณยายไม่ให้เรียน แล้วพอเห็นเพียวตั้งใจแล้วก็เรียนได้ แม่ก็เลยส่งเสีย ซึ่งเพียวก็รู้สึกถึงความรักจากตรงนี้ของแม่ แล้วก็รู้สึกว่าเราอยากทำให้แม่ภูมิใจ”จุดเปลี่ยน ที่ทำให้ครอบครัวยอมรับ“ตอนแรกที่ประกวดร้องเพลงแม่ก็ยังไม่ยอมรับ แต่เราก็รู้ตัวเองอยู่แล้วว่าตัวตนของเราเป็นยังไง ตอนที่เราตัดสินใจไปประกวด The Voice Thailand Season 6 การประกวดครั้งนี้ เพียวรู้สึกว่าอยากเป็นตัวของตัวเอง ฉันอยากแตกสาว ฉันอยากเป็นตัวของตัวเอง ก็เลยบอกแม่ว่า หนูจะลงประกวด The Voice Thailand Season 6 แล้วแม่ก็ขอว่า เป็นตัวเองได้แต่อย่าทำหน้าอกนะ ก็เป็นการพูดขำ ๆ เพียวก็บอกว่าได้เลย แต่ขอแต่งตัว แต่งหน้า แต่งหญิงในแบบที่ชอบนะ ซึ่งพอไปประกวดเวทีต่าง ๆ อย่างตอนที่ปประกวด KPN Award แล้วได้เงินมา เพียวก็ให้แม่หมดเลย แล้วก็ช่วยใช้หนี้ ธกส. หลังจากนั้นพอเริ่มทำงานแล้ว ได้เงินเท่าไหร่ก็ต้องให้แม่ เพราะว่าแม่ท่านลำบากมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่เพียวจำความได้คือแม่ลำบากมาก หนูก็รู้สึกว่าอยากทำให้แม่สบายสักที แล้วก็อยากทำให้แม่ภูมิใจในตัวเรา แล้วยอมรับในตัวตนของเราได้ในการประกวดร้องเพลง หนูไปหลายเวทีมาก The Star ก็ไป แล้วก็ไป KPN Award แล้วก็มาต่อที่ The Voice Thailand Season 6 ซึ่งตอนประกวด The Star หนูยังไม่ได้เรียนร้องเพลง เพราะตอนนั้นอยู่ร้อยเอ็ดก็ยังไม่มีครูสอนร้องเพลง จนคิดว่าตัวเองอยากเรียนเกี่ยวกับดนตรีก็เลยได้ครูที่โบสถ์ช่วยสอน แล้วหนูก็เริ่มหาครูที่จะสอนร้องเพลง เพื่อจะติวหนูเพื่อสอบเข้า ม.รังสิต ตอนนั้นก็ต้องสอบขอทุนเพราะว่าไม่มีเงินเรียน แล้วก็ได้ทุน 100% ก็เลยได้เรียนที่ ม.รังสิตซึ่งการร้องเพลงของหนูมันเริ่มสร้างรายได้ในตอนที่ทำวง ตอนนั้นหนูกับเพื่อนสนิทที่มหาวิทยาลัย ชื่อไข่มุก ซึ่งเป็นนักร้องด้วยกัน แล้วก็ชวนมาตั้งวงด้วยกัน ชื่อว่า เดจาวู แล้วก็เริ่มได้ค่าตัวครั้งแรกเลยคือ 600 บาท แล้วหนูก็เริ่มร้องไปเรื่อย ๆ จนลูกค้าที่ไปดูเราที่ร้านเริ่มอยากจ้างไปร้องงาน Event แล้วก็ได้ค่าตัว 5,000 บาท ตอนนั้นดีใจมากเลยค่ะ”การประกวดร้องเพลง กับความรู้สึกที่ไม่กล้าเป็นตัวเองมากพอ“ตอนที่ประกวด KPN ตอนนั้นอายุประมาณ 18 ปี รู้สึกว่าตัวเองยังเด็กมาก แล้วพอกลับไปดูตัวเองตอนนั้นรู้สึกว่าเป็นเด็กที่เก็บกดมาก เพราะมันไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง แล้วก็รู้สึกว่าหนูพยายามที่จะร้องให้เยอะ ร้องเพลงให้ใหญ่ แล้วก็ร้องเสียงสูง ๆ เพราะตอนนั้นเราเพิ่งเริ่มร้องเพลง และเราก็บ้าไฟบ้าพลัง แล้วงานจ้างก็ไม่ค่อยมี ทำให้หนูคิดมาก แล้วมีภาวะซึมเศร้าเลยค่ะแต่พอมาช่วงที่จะประกวด The Voice Thailand Season 6 ช่วงก่อนโควิด-19 หนูได้มีโอกาสไปร้องเพลงที่ร้าน House of Heals ของ พี่ปันปัน แล้วพี่ปันปัน คือคนที่จับหนูแต่งหน้า แล้วก็ให้ออกมาร้องเพลงให้ลูกค้าดู ซึ่งลูกค้าก็ให้ทิปเยอะมาก จนหนูรู้สึกว่า นี่ฉันสวยเหรอ ทำไมเวลาแต่งหน้าแล้วฉันรู้สึกว่าฉันสวย แล้วคนให้ทิปฉัน แล้วพี่ปันปันก็เลยเอารองเท้าส้นสูงของตัวเองมาให้หนู ต้องขอบคุณพี่ปันปัน ที่ทำให้หนูกลับไปคิดถึงเด็กตุ๊ดตัวเล็ก ๆ ตอนนั้น ที่แอบแม่แต่งหญิง พอมาวันนี้ได้มาแต่งหน้าแต่งตัวจัดเต็มก็ทำให้รู้สึกว่าได้เป็นตัวของตัวเอง แล้วก็ดีใจที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ ได้เป็นตัวเองเต็มที่”คนที่อยากเป็นนักร้อง ควรจะต้องเรียนร้องเพลง“เพียวว่าการเรียนร้องเพลงจำเป็นสำหรับนักร้อง เหมือนเราเป็นนักว่ายน้ำ เราก็ต้องเรียนว่ายน้ำ เพื่อรู้จักการบริหารกล้ามเนื้อที่เราต้องใช้ ซึ่งคนทุกคนสามารถร้องเพลงได้ อยู่ที่ว่าจะร้องเพี้ยนรึเปล่า และหนูสามารถสอนให้ร้องให้ตรงคีย์ขึ้นได้ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน โดยเฉพาะเรื่องหู ที่บางคนเวลาฟังได้ยินปกติ แต่ว่ามันไม่ซิงค์กับเสียงเรา บางทีต้องจูนกับเสียงที่ได้ยิน จูนไปเรื่อย ๆ ค่อย ๆ ฝึกไป ค่อยๆ ร้องเพลงที่มันไม่ได้เสียงสูงมากจริง ๆ การร้องเพลง เริ่มได้เลยตั้งแต่ 3 ขวบ พูดได้ก็ร้องได้ ให้เค้าฝึกร้องไป เอบีซี ฝึกให้เค้าร้องไปได้เลย เรื่องเพลงแบบไหนร้องยาก หนูมองว่าเพลงแนวร็อคที่ต้องว้าก เป็นเพลงที่ร้องยาก หนูร้องไม่ได้เลย ซึ่งมันมีเทคนิคคือ ไม่ต้องร้องดัง แค่เอาไมค์มาใกล้ ๆ ปากแล้วว้าก ซึ่งหนูยังทำไม่ได้ การว้ากมันยาก รู้สึกว่าถ้าทำแล้วเสียงแหบ ซึ่งแสดงว่าเราออกเสียงผิดวิธี นอกจากเพลงร็อค เพลงแจ๊สก็ยากค่ะ”เปิดเรื่องราว ที่ เพียว เอกพันธ์ ต้องเสียน้ำตา“ช่วงที่ชีวิตหนูเซหนัก ๆ คือช่วงก่อนที่จะมา The Voice Thailand Season 6 ช่วงนั้นหนูน่าจะเป็นซึมเศร้าเลย ติดเหล้า แล้วก็สูบบุหรี่ด้วย เพราะว่าตอนนั้นแม่โดนยึดรถ แล้วก็มีเรื่องบ้าน ครอบครัวไม่มีเงิน แล้วหนูก็ต้องย้ายจากหอหนึ่งไปอีกหอหนึ่ง เพื่อที่จะจ่ายค่าหอให้ได้ แล้วก็ต้องหาค่าเทอมจนเรียนจบเอง ตอนนั้นเครียดหนักมากจนป่วยเป็นสะเก็ดเงินทั้งตัวเลย จากการพักผ่อนไม่เพียงพอ แล้วก็ภูมิตก แล้วการดื่มหนักเริ่มมีผลกับการร้องเพลง เพราะเสียงของหนูในตอนนั้นคือแหบมากทุกวันนี้ที่กลับมาเป็นตัวเองเหมือนเดิมได้เพราะป่วย พอมันเห็นตัวเองในภาพ แล้วเราไม่อยากอยู่ตรงนี้ แต่เรายังมีพ่อมีแม่ที่ต้องช่วยเค้า ก็เลยรู้สึกว่าไม่เป็นไร เราต้องสู้ต่อ ก็เลยเลิก หันมากินส้มตำแซ่บ ๆ แทนค่ะ”เพียว เอกพันธ์ กับการประกวด The Voice Thailand Season 6“เพียวอยากให้คนเห็นอีกแนวของเรา หลังจากที่ได้ปลดล็อคไปขั้นหนึ่งของชีวิตแล้ว อยากให้คนเห็นลุคใหม่ของเรา ที่เป็นลุคเกย์แตกสาว อยากให้คนรู้จัก แล้วก็จ้างงานเราเท่านั้นเลย ซึ่งตอนที่ตัดสินใจจะประกวด The Voice Thailand Season 6 หนูกดดัน เพราะถูกมองว่าหนูเป็นตัวเต็ง แต่หนูไม่ได้คาดหวังขนาดนั้น ก็แค่อยากลองไป ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ก็กลับมาทำงานต่อ แค่เราได้ไปเจอคนใหม่ ๆ ได้เจอทีมงาน เจอนักดนตรีเก่ง ๆ ได้มีคอนเนคชั่นใหม่ ๆ แค่นี้ก็พอแล้ว ตอนประกวดรอบแรกร้องเพลง Forget You แล้วก็มี Man in the Mirror และ Run to you เพลงสุดท้ายคือ Time Funk ซึ่งเป็นเพลงสากลหมดเลย ตอนนั้นหนูเลือกอยู่ทีมโค้ชพี่สิงโต แล้วสามารถข้าไปได้ถึงรอบ 8 คนสุดท้ายเพียวว่า ตอนนี้คนฟังเพลงกว้างขึ้นมากเลย คงจะเป็นเพราะโลกกว้างขึ้น มี Youtube มี สตรีมมิ่งเยอะมาก แต่บางครั้งคนจะชอบคิดว่าการเอาเพลงสากลมาประกวดตั้งแต่รอบแรกในเวทีระดับประเทศที่เป็นเวทีประเทศไทยมันจะไม่ชนะ เพราะว่าหนูเป็นคนแรกในประเทศเลย ที่เอาเพลงสากลมาแข่งใน The Voice แล้วก็ชนะ หนูคิดว่าน่าจะเป็นเพราะสังคมเราเปลี่ยนแล้วก็โลกเปิดขึ้น แล้วเราก็ฟังเพลงหลากหลายแนวขึ้น ซึ่งจริง ๆ แล้ว หนูถนัดหมดเลย ร้องได้หมดเลยทุกแนว แต่ที่ชอบแล้วก็หลงใหลก็คือ ร้องเพลงสากล แนวอาร์แอนด์บี”แรงจูงใจ ที่ทำให้อยากประกวด The Voice All Stars อีกครั้ง“มันคือความอยากให้คนเห็นอีกนั่นแหละค่ะ อยากให้คนเห็นเราสวยขึ้น เราติดขนตาไปร้องเพลงแล้ว ใส่ส้นสูงไปร้องเพลงแล้วนะ การกลับมาแบบเต็มรูปแบบขนาดนี้ คิดว่าพี่สิงโตเค้าน่าจะตกใจนะคะ แต่คนที่ตกใจที่สุดน่าจะเป็นพี่คิ้ม เพราะพี่คิ้มเจอกับเพียวเมื่อ 10 ปีที่แล้วตอน KPN Award เราร้องเพลงคู่กัน เพลง I believe I can fly แล้ววนมาเจอกันอีกครั้งใน The Voice All Starsเพลงที่เพียวร้องครั้งนี้ มีเพลงไทยที่ร้องในรอบ Semi-Final คือเพลง ซังได้ซังแล้ว ของ พี่ต่าย อรทัย บอกเลยว่าการประกวดตอนนั้นมีแต่คนเก่ง ทั้ง ปรางทิพย์,เก่ง ธชย, แตงโม แล้วก็ พี่คิง มีแต่ตัวฟาด ๆหนูไม่คิดเลยว่าตัวเองจะได้แชมป์ พอจับมือกับพี่เก่ง ตอนรรอบประกาศผล หนูคิดว่าต้องเป็นพี่เก่งแน่นอน ไม่เป็นไรฉันจะกลับบ้านไปร้องเพลง แต่พอประกาศชื่อเพียวปุ๊บ หนูก็ตกใจมากเพราะว่าคะแนนหนู กับ พี่เก่ง ห่างกันแค่ 0.5 ตอนนั้นกรี๊ดดังมากบนเวที แล้วก็ร้องไห้เลยค่ะ มันดีใจมาก ๆแล้วตอนนั้นแม่เห็นเพียวลุคนี้เลย แม่มาดูเลยเองเลย แล้วในตอนที่หนูประกวด ด้วยความที่แม่เป็นช่างเย็บผ้า แม่ก็ตัดชุดให้ ตัดกางเกงให้ เพื่อให้หนูสวมในและรอบ มาวันที่ได้แชมป์ คุณแม่ดีใจมาก ตอนนี้ไปไหนก็เชิดหน้า แต่ก่อนชอบเดินก้มหน้ามาก เพราะว่าเค้าเป็นหนี้เยอะ แต่ตอนนี้ก็คือปลดหนี้หมดแล้ว”ความฝันต่อไป ของ เพียว เอกพันธ์“ตอนนี้หนูอยากมีเพลงดัง อยากมีเพลงที่เอาไว้ร้องโชว์ และตอนนี้หนูกำลังทำเพลงเอง แล้วก็คิดว่าจะปล่อยเพลงในเดือน Pride Month แล้วก็มีเพลงช้าแบบเศร้า ๆ 1 เพลงค่ะ ซึ่งหนูอยากมีเพลงแนวร็อค แล้วก็อยากทำเพลงหมอลำที่เป็นแบบเต้นรถแห่ทำนองนั้นค่ะสำหรับน้องที่อยากเป็นนักร้อง หนูอยากจะให้ฟังเพลงเยอะ ๆ เพราะว่าการร้องของเรา มันขึ้นอยู่กับแนวเพลงที่เราฟัง เพราะว่าการที่จะร้องเพลงได้ดีต้องเสพเพลงหนักมาก อย่างเช่น หนูเองก็จะเสพเพลงแนวอาร์แอนด์บี หรือแบบ Gospel Music หนักมาก มันเลยทำให้หนูร้องได้อินมาก แล้วก็อยากให้น้อง ๆ เรียนร้องเพลง จะได้ร้องเพลงให้ถูกต้อง แล้วก็จะได้รู้วิธีการร้องเพลงที่เซฟคอของเราไว้ จะได้ร้องเพลงนาน ๆ แล้วก็ไปประกวดทุกเวทีเลย มีงานวัด หรืองานประกวดก็ไปเลยค่ะส่วนคนที่รู้สึกว่าไม่อยากประกวด หนูมองว่าเดี๋ยวนี้มันง่ายมาก ทุกคนสามารถทำเพลงเองได้ ลองเขียนเพลงไหม แต่งเพลงไหม แล้วเอาลง Youtube ไปเลย บางทีมันอาจจะมีคนเข้ามาฟังเพลงเรา ซึ่งถ้าเราชอบจริง ๆ แล้วรักจริง ๆ หนูคิดว่าจะเดินทางไหนก็ได้ จะไปประกวดหรือว่าจะทำเพลงเองมันก็ไปต่อได้ ถ้าเรารักมัน”เปิดสเปค ส่องความรักของ เพียว เอกพันธ์“สเปคของหนู ชอบแบบไทยบ้านดำแดด ผิวคล้ำ ๆ แล้วก็สูง ๆ ชอบคนสูงกว่า หนูขี้อายมากเลยค่ะกับเรื่องผู้ชายไม่ค่อยกล้าเข้าหาด้วย ก็จะมีหลายคน ที่เวลาไปเจอเค้า แล้วเค้าบอกให้ร้องเพลงให้ฟังหน่อย เราก็ร้องให้เค้าฟัง เพราะหนูเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง ในรูปลักษณ์ตัวเองเลย แล้วก็รู้สึกว่าสิ่งที่สวยงามที่สุดก็คือเสียงของเรา แล้วก็ถ้าเค้าอยากให้เราร้องเพลงให้ฟัง เราก็โอเคร้องให้ฟัง เผื่อเค้าจะได้ชอบเราบ้างแฟนคนแรกเคยคบกัน แล้วก๊อกหัก ตอนนั้นหนูน่าจะอยู่มหาวิทยาลัยปี 3 เป็นป๊อบปี้เลิฟแล้วเวลาอกหัก หนูจะเศร้าสะเทือนใจนิ่งเงียบเลย แล้วก็ฟังเพลง หนูไม่เคยเอาแฟนไปเปิดตัวต่อหน้าแม่เลยตั้งแต่คบกันกับแฟนมา และส่วนใหญ่ถ้าผิดหวังเรื่องความรัก หนูจะเก็บน้ำตาไปร้องไห้เวลาต้องไปร้องเพลงกลางคืน มีครั้งหนึ่งอกหักแล้วต้องไปร้องเพลงต่อ แล้วร้องไม่ได้ อารมณ์ก็ไม่ถึง ร้องเนื้อผิด ร้องมั่วไปหมดเลยค่ะ”อยากให้คุณพ่อคุณแม่ รักลูกแบบไม่มีเงื่อนไข“หนูได้มีโอกาสไปเป็นวิทยากรที่ ม.รังสิต แล้วก็เล่าเรื่องว่าตัวเองเจออุปสรรคอะไรตอนเป็นเด็ก แล้วก็ลองถามน้อง ๆ ว่า ตอนนี้มีใครเป็นตุ๊ดไหมคะ แล้วพ่อแม่ว่าไงบ้าง ซึ่งน้อง ๆ ยุคนี้คือ พ่อแม่ยอมรับหมดแล้วแต่ถ้าพ่อแม่ใครที่ยังไม่ยอมรับ หนูอยากให้อดทน แล้วก็ให้รู้ว่าพ่อแม่รักเรา หนูอยากให้ทำอาชีพของเราให้ดีที่สุด เลี้ยงตัวเองและดูแลตัวเองให้ได้ แล้วก็ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่เราจะไปได้ ก็แค่นั้นเลยและอยากจะบอกคุณพ่อคุณแม่คนไหนที่มีลูกเป็น LGBTQ+ อยากให้ลองเปิดใจ แล้วก็ลองให้โอกาสเค้า ให้กำลังใจเค้า แล้วก็รักเค้าโดยที่ไม่มีเงื่อนไข สนับสนุนเรื่องการศึกษา และเรื่องอาชีพของเค้า ให้เค้าทำตามความฝันของเค้าค่ะ”สายสุดเซอร์ไพรส์ ส่งมอบแรงบันดาลใจให้กับ เพียว เอกพันธ์“มีหนึ่งสายสุดเซอร์ไพรส์ ที่เคยมาเป็นแขกรับเชิญของรายการ Club Pride Day นั่นคือสายของ นาตาเลีย เพลียแคม ที่ได้โทรเข้ามาพูดคุย พร้อมส่งต่อกำลังใจให้กับ เพียว เอกพันธ์ และเพียว ได้กล่าวคำขอบคุณกลับไปว่า “ดีใจค่ะ ที่เราได้รู้จักกับพี่นาตาเลีย พี่เค้าชอบเอ็นดูหนูเวลาประกวดก็ให้หนูไปร้องโชว์ เวลามีงานอะไรเข้ามา พี่นาตาเลีย ก็จะมอบโอกาสให้ตลอด หนูขอบคุณมากที่มีอะไรก็คิดถึงเพียว แล้วก็ดีใจที่เราได้เป็นพี่น้องกัน ขอบคุณนะคะ”สีสัน แรงบันดาลใจจาก เพียว เอกพันธ์“สำหรับใครที่มีทักษะอยู่ในตัว เช่น สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ อยากให้ใช้เวลาในการพัฒนาทักษะของตัวเอง หนูคิดว่าสิ่งนี้มันจะทำให้เราไปได้ไกล แล้วก็อยากให้รักอาชีพของตัวเอง ต้องเริ่มต้นจากความรักก่อน อย่างหนูก็รักดนตรี และใช้เวลากับดนตรีและการร้องเพลงเยอะมาก เมื่อเรารักมัน จะทำสิ่งนั้นได้นานค่ะ” – เพียว เอกพันธ์พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

GREEN MORNING SHOW

06 เม.ย. 2024

GREEN MORNING SHOW 5 เม.ย. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

06 เม.ย. 2024

GREEN MORNING SHOW 3 เม.ย. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

06 เม.ย. 2024

GREEN MORNING SHOW 2 เม.ย. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

06 เม.ย. 2024

GREEN MORNING SHOW 1 เม.ย. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

06 เม.ย. 2024

GREEN MORNING SHOW 29 มี.ค. 67

ทอล์กข่าวสุดปัง เติมพลังก่อนไปทำงาน ทุกเช้า 07:00 - 08:00 น.

CLUB FRIDAY

19 เม.ย. 2024

Club Friday อยากเซอร์ไพรส์เธอ เจอเซอร์ไพรส์กว่า | 19 เมษายน 2567

สองควีนเรื่องรัก คลับที่พักของหัวใจ ทุกคืนวันศุกร์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน กับดีเจพี่อ้อย พี่ฉอด ทาง GREENWAVE 106.5 FM

12 เม.ย. 2024

Club Friday รวมเรื่องรัก ช่วงพัก Holiday | 12 เมษายน 2567

สองควีนเรื่องรัก คลับที่พักของหัวใจ ทุกคืนวันศุกร์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน กับดีเจพี่อ้อย พี่ฉอด ทาง GREENWAVE 106.5 FM

06 เม.ย. 2024

Club Friday รักคนผิด ชีวิตเปลี่ยน | 5 เมษายน 2567

สองควีนเรื่องรัก คลับที่พักของหัวใจ ทุกคืนวันศุกร์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน กับดีเจพี่อ้อย พี่ฉอด ทาง GREENWAVE 106.5 FM

29 มี.ค. 2024

Club Friday 108 คำถามหัวใจ | 29 มีนาคม 2567

สองควีนเรื่องรัก คลับที่พักของหัวใจ ทุกคืนวันศุกร์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน กับดีเจพี่อ้อย พี่ฉอด ทาง GREENWAVE 106.5 FM

22 มี.ค. 2024

Club Friday คู่ชีวิต คิดทรยศ | 22 มีนาคม 2567

สองควีนเรื่องรัก คลับที่พักของหัวใจ ทุกคืนวันศุกร์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน กับดีเจพี่อ้อย พี่ฉอด ทาง GREENWAVE 106.5 FM

18 มี.ค. 2024

Club Friday เรื่องเล็ก ที่ทำให้เลิกรัก | 15 มีนาคม 2567

สองควีนเรื่องรัก คลับที่พักของหัวใจ ทุกคืนวันศุกร์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน กับดีเจพี่อ้อย พี่ฉอด ทาง GREENWAVE 106.5 FM

เพื่อนเป็นหมอ

18 มี.ค. 2024

ปวดหลังแบบนี้ใช่ออฟฟิศซินโดรมไหมหมอ ? | FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

ลุกก็โอยยยย นั่งก็โอยยยยย อาการแบบนี้มันใช่ออฟฟิศโดรมอย่างเดียวจริงหรอ ? แล้วอาการปวดหลัง เป็นเพราะเราอายุเยอะจริงไหม ? มาฟังคำตอบจากหมอเพื่อน พร้อมผู้ช่วยจาก The Selection กันได้เลย #GreenWave1065 #เพื่อนเป็นหมอ #หมอเพื่อน #ดีเจเป้ #เวลลี่ #ออฟฟิศซินโดรม #มนุษย์ออฟฟิศ #คนทำงาน #TheSelection #เลือกที่ใช่ให้สุขภาพ

19 ก.พ. 2024

แน่ใจหรอ ว่ากินช็อกโกแลตเสี่ยงแค่เรื่องของน้ำตาล ? | FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

ช็อกโกแลต กินแล้ว FAT ใคร ๆ ก็รู้ แต่มันยังมีแฝงความเสี่ยงในโรคอื่น ๆ ที่คิดไม่ถึงอยู่อีกด้วย แต่อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะคุณหมอไม่ได้ฝากไว้แค่อันตรายของช็อกโกแลต แต่ยังฝากถึงข้อดีไว้ด้วยเหมือนกัน แต่จะกินแค่ไหนถึงเสี่ยง หรือต้องกินเท่าไหร่ถึงดี ตามไปหาคำตอบกันใน EP.นี้ #GreenWave1065 #เพื่อนเป็นหมอ #ดีเจดาด้า #หมอเพื่อน #วาเลนไทน์ #ช็อกโกแลต #เบาหวาน #สุขภาพ

07 ก.พ. 2024

พิชิตเป้าหมาย 2024 ด้วยสุขภาพดีแบบครบสูตร!| FULL EP เพื่อนเป็นหมอ

เปิดปีแบบสุขภาพดี เพราะดีเจเป้ชวนหมอไปออกกำลังกาย แต่ EP.นี้พิเศษ ไม่ได้มีแค่หมอกับดีเจเป้แต่ยังมีต๊อก สุทินาถด้วยยย โอ้โห้ สนุกแน่ ๆ ไม่รู้ว่าหมอจะได้ออกกำลังกาย คุยเรื่องสุขภาพ หรือ ต้องเป็นกรรมการห้ามคู่นี่กันแน่ แต่ที่รู้ ๆ คุณหมอเพื่อนจะมาฝากเคล็ดลับสุขภาพดีแบบครบสูตร ให้พร้อมลุยกับปี 2024 อย่างแน่นอน !! ใครที่ปีนี้มีเป้าหมายสุขภาพดีติดตามได้ #GreenWave1065 #เพื่อนเป็นหมอ #ดีเจเป้ #หมอเพื่อน #ต๊อกสุทินาถ #สุขภาพ #ตรวจสุขภาพ #ออกกำลังกาย

31 ม.ค. 2024

เลือก Probiotic ที่ใช่กับตัวเราได้ไม่ยาก | FULL EP.32

เป็นไหม? กิน Probiotic เหมือนเพื่อน แต่ได้ผลลัพธ์ไม่เหมือนกัน เป็นไหม? กิน Probiotic แล้วแต่ยังรู้สึกสมดุลลำไส้ไม่ดี นั่นอาจจะเป็นเพราะว่า เราต้องการ Probiotic ที่แตกต่างกันไงหละ

31 ม.ค. 2024

เรื่องไตไม่ไกลตัว แค่ลดเค็มอย่างเดียวคงไม่พอ | FULL EP.31

เรื่องไตต้องระวังแค่เรื่องเค็มอย่างเดียวคงไม่พอ เพราะมีหลายสาเหตุมากที่ทำให้มีความเสี่ยง ตามไปเช็กกับหมอเพื่อนและดีเจโกกัน ว่าคุณกำลังมีพฤติกรรมที่เสี่ยงกับโรคไตอยู่รึเปล่า

31 ม.ค. 2024

เครียดนัก ก็พักก่อน | FULL EP.30

ใครเครียดมาแวะพักกันก่อน กับเพื่อนเป็นหมอ EP. นี้ หมอเพื่อนกับพี่เป้จะมา #คุยเรื่องความเครียดแบบไม่เครียด พร้อมเทคนิคจำกำจัดความเครียด

COVER NIGHT LIVE

31 ม.ค. 2024

Cover Night Live : The Guitar Harmony

07 พ.ย. 2023

Cover Night Live : DUO THERIAULT

01 ส.ค. 2023

Cover Night Live : I Amp Telling You

17 ธ.ค. 2022

Cover Night Live Session : Chilling Sunday

12 ก.ย. 2022

Cover Night Live Session : Chilling Sunday

11 ก.ค. 2022

COVER NIGHT LIVE SESSION WANYAI

EVENTS

01 ก.พ. 2024

GREEN LUCKY: GREEN DESTINATION

13 ธ.ค. 2023

GREEN LUCKY: BUDDY DELICIOUS

05 มิ.ย. 2023

Greenwavecation เวลมคัมมูไทยแลนด์ จ.ปทุมธานี

21 พ.ค. 2023

ยกขบวน ชวนปลูกป่าล้านไร่ ไปกับ กฟผ.

12 พ.ค. 2023

อาสาพาไปรักษ์ ตอน คุณช่วยเก็บ เราช่วยปลูก

23 มิ.ย. 2023

GREEN TRIP #87 DISCOVER THE WORLD HERITAGE

HEALTHY LIFESTYLE

10 เม.ย. 2024

ยีนส์ทรงนี้ ดีกับหุ่นไหมนะ

สวัสดีสาว ๆ วันนี้เราจะมาพูดถึงกางเกงยอดฮิตที่ทุกบ้านต้องมี นั่นก็คือ “กางเกงยีนส์”เชื่อว่าทุกคนต้องมีกางเกงยีนส์กันอยู่แล้ว แต่บางคนคงเลือกที่จะพับเก็บเข้าตู้ไปเพราะอาจจะคิดว่าหุ่นเราไม่เหมาะกับกางเกงยีนส์ ใส่แล้วไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง หรือบางคนอยากใส่กางเกงยีนส์แต่ไม่รู้ว่ากางเกงยีนส์แบบไหนจะเหมาะกับเรานะ วันนี้เรามีคำตอบมาให้เรามาเริ่มกันที่เช็ครูปร่างตัวเองกันว่าหุ่นเราเป็นทรงไหนกันนะขอบคุณรูปภาพจากเว็บไซต์ : https://i.pinimg.com1.หุ่นทรงแอปเปิ้ล ( Apple Shape ) ลักษณะคือมีรูปร่างเป็นทรงกว้าง หน้าอก เอว สะโพกมีขนาดเท่ากัน2.หุ่นทรงลูกแพร์ ( Pear Shape ) ลักษณะคือช่วงบนเล็กกว่าช่วงล่าง เอวเล็ก แต่มีสะโพกและต้นขา3.หุ่นทรงสามเหลี่ยมคว่ำ (Triangle Shape) ลักษณะคือช่วงบนใหญ่กว่าช่วงล่าง ไหล่กว้าง แต่ช่วงสะโพกจะมีขนาดเล็ก4.หุ่นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า (Rectangle Shape) ลักษณะคือช่วงบนและล่างมีขนาดเท่ากันไม่มีเอว รูปร่างตรง5.หุ่นทรงนาฬิกาทราย (Hourglass Shape) ลักษณะคือมีความสมดุลระหว่างช่วงบนและช่วงล่าง เอวคอด ดูมีอก มีสะโพกเมื่อทุกคนรู้จักรูปร่างตัวเองแล้วต่อไปเรามาเลือกกางเกงยีนส์กันดีกว่ากางเกงยีนส์ที่เหมาะสำหรับหุ่นแอปเปิ้ลทรงขากระบอกใหญ่ , ทรงขาบาน,ทรงขาม้า-ควรเน้นกางเกงยีนส์เอวสูงหรือกางเกงยีนส์ที่มีช่วงขอบเอวกว้าง เพราะขอบเอวกว้างๆนั้นจะช่วยในการเก็บหน้าท้องให้เข้ารูปได้ดีมากขึ้น-ไม่ควรกางเกงยีนส์ที่บีบช่วงขามาก ๆ อย่างเช่นกางเกงยีนส์ทรงสกินนี่ เพราะการที่ใส่กางเกงยีนส์ที่บีบช่วงขา จะทำให้ลำตัวดูใหญ่ขึ้นกางเกงยีนส์ที่เหมาะสำหรับหุ่นลูกแพร์ทรงขากระบอกใหญ่ , ทรงขาบาน,ทรงขาม้า-ควรเน้นกางเกงยีนส์สีทึบหรือสีเข้ม เพราะจะช่วยอำพรางสะโพกและเลือกกางเกงยีนส์ที่ช่วยกระชับสะโพกได้ดี อย่างกางเกงยีนส์เอวปกติหรือเอวสูง เพราะเก็บสะโพกได้ดีและเอวดูเล็กลง-ไม่ควรเลือกกางเกงยีนส์ที่รัดต้นขาหรือรัดรูปร่าง เช่น ทรงสกินนี่ เพราะจะทำให้ต้นขาและสะโพกชัดเกินไปกางเกงยีนส์ที่เหมาะสำหรับหุ่นสามเหลี่ยมคว่ำทรงขาม้า,ทรงบอย,ทรงขาบาน,ทรงขากระดิ่ง-ควรเลือกกางเกงยีนส์ที่มีสีอ่อนกว่าเสื้อ เพราะจะช่วยทำให้สะโพกออกมาดูเด่นมากขึ้น และสวมเสื้อที่สีเข้มเพราะว่าจะช่วยอำพรางไหล่ที่กว้างของเราได้-ไม่ควรเลือกกางเกงยีนส์ทรงสกินนี่เพราะจะทำให้สะโพกดูแคบกว่าเดิมกางเกงยีนส์ที่เหมาะสำหรับหุ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าทรงสกินนี่, ทรงขาม้า, ทรงกระบอกเล็ก, ทรงขาบาน-ควรเลือกกางเกงยีนส์เอวปกติหรือเอวต่ำและกางเกงยีนส์ควรมีลูกเล่นตรงช่วงสะโพกเพราะจะช่วยเพิ่ม volume ให้กับสะโพก ทำให้เราดูมีสะโพกมากขึ้น-ไม่ควรใส่กางเกงยีนส์เอวสูง จะทำให้เอวเด่นเกิน และทำให้เราดูไม่มีส่วนเว้าโค้งกางเกงยีนส์ที่เหมาะสำหรับหุ่นนาฬิกาทรายทรงสกินนี่,ทรงขาม้า,ทรงกระบอกเล็ก,ทรงขาบาน,ทรงกระบอกใหญ่-ควรใส่กางเกงยีนส์เอวปกติหรือเอวสูง จะช่วยทำให้ขาดูยาวสวยขึ้น และกางเกงยีนส์เอวสูงจะช่วยให้ช่วงเอวเห็นชัดขึ้น จากที่เอวคอดอยู่แล้วก็จะทำให้เอวเราชัดกว่าเดิม-ไม่ควรสวมกางเกงยีนส์เอวต่ำ เพราะจะทำให้สะโพกดูใหญ่และทำให้ขาสั้นลงอีกด้วย...............................................................................ถ้าใครอ่านมาถึงตรงนี้แล้วลิสต์กันไว้หรือยังว่ากางเกงยีนส์ทรงไหนเหมาะกับเราบ้าง นอกจากจะได้กางเกงที่เหมาะกับแล้วเรายังได้เช็ครูปร่างตัวเองอีกด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าเราจะมีรูปร่างแบบไหน ชอบเสื้อผ้าแบบไหน ขอแค่เรามั่นใจในตัวเองมั่นใจกับสิ่งที่เสื้อผ้าที่เราใส่แค่นี้ก็พอแล้วว Have a good day นะคะ :)

19 มี.ค. 2024

Hair Trick เลือกทรงที่ใช่ ภายใน 1 นาที

เป็นเรื่องหนักใจไม่เบาเลย สำหรับสาว ๆ เวลาจะเลือกทรงผมให้ตัวเองแต่ละที มันเลือกยากเลือกเย็นซะเหลือเกิน แล้วยิ่งช่วงนี้อากาศร๊อนร้อนนนน หลาย ๆ คนมีแพลนตัดผมสั้นกันด้วยใช่ไหมหละ มา ๆ เดี๋ยววันนี้เราจะพาไปส่องเคล็ดลับ เลือกทรงผมที่ใช่กับใบหน้าของเรากัน ถ้าพร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลยยยยSTEP 1 เช็กรูปหน้าของตัวเองก่อนที่จะได้ทรงผมที่เหมาะกับเราขั้นตอนแรกเราก็ต้องมาเช็กรูปหน้าของตัวเองกันก่อน ว่าเรามีรูปหน้าแบบไหน ทรงกลม หรือ ทรงไข่ หรือทรงรูปหัวใจ โอ้ยนี่ยังไม่หมดนะเนี่ย ยังมีอีกหลายรูปร่างเลย ว่าแล้วก็ไปดูกันดีกว่า GOGO!หน้าทรงกลม สาว ๆที่มีรูปหน้าทรงกลมจะมีสัดส่วนใบหน้าที่เท่ากัน ไม่ว่าจะเป็น ด้านซ้าย ด้านขวารวมไปถึงความกว้างและก็ความยาวที่เท่ากัน ยิ่งสาว ๆ คนไหนมีแก้มเยอะด้วยแล้วละก็ ใบหน้าอาจจะดูกลมยิ่งขึ้นได้นะหน้ารูปไข่ เป็นใบหน้าที่โค้งมนได้รูป ช่วงหน้าผากจะกว้างกว่าส่วนคางเล็กน้อยส่วนกรามและคางมีลักษณะ โค้งมนเรียว มีอัตราส่วนความยาวช่วงหน้าผาก จมูก และคางที่เท่ากันหน้าทรงเหลี่ยม สาวหน้าเหลี่ยม หรือเราอาจจะเรียกได้ว่าสาวหน้าเก๋ก็แหมสาว ๆ ที่หน้าเหลี่ยมมักจะดูเก๋ เท่ ชิค มีสไตล์ลักษณะรูปหน้าจะมีมุมและมีความคมของกรอบใบหน้าค่อนข้างมากเห็นส่วนกามชัดเจนสัดส่วนความกว้างและความยาวเท่ากันพอดีหน้าทรงยาว ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่ารูปหน้าทรงยาวเพราะฉะนั้นสาว ๆ ที่มีรูปหน้าทรงนี้ใบหน้าก็จะมีความยาวมากกว่าความกว้าง ด้านข้างใบหน้าจะดูแคบ หน้าผาก แก้ม คาง จะดูเท่ากันหน้ารูปหัวใจ สาว ๆ ที่มีใบหน้ารูปหัวใจ ลักษณะใบหน้าจะคล้าย ๆ กับรูปสามเหลี่ยมคว่ำจะมีช่วงหน้าผากกว้างแต่โค้งมนได้รูป ช่วงใบหน้าเรียวจนถึงคาง ส่วนคางก็จะเป็นคางที่แหลมหรือให้เข้าใจง่าย ๆ จะมีส่วนบนกว้างกว่าส่วนล่างนั่นเองหน้ารูปเพชร สาว ๆ ที่มีทรงหน้ารูปเพชร จะมีโหนกแก้มที่โดดเด่นก็คือโหนกแก้มจะกว้าง แต่หน้าผากและคางจะแคบและเล็กSTEP 2 ได้เวลาเลือกทรงที่ใช่!เอาหละ หลังจากเช็ครูปหน้ากันไปแล้ว ก็ได้เวลาที่เราจะมาหาทรงที่ใช่กันแล้ว ไหน ๆ ดูซิแต่ละคนมีรูปหน้าแบบไหนกันบ้าง แล้วทรงผมที่ควรจะเลือก ต้องเป็นทรงไหนที่เหมาะกับเราไปดูกันหน้าทรงกลมเนื่องจากสาวหน้าทรงกลม จะมีแก้มที่เยอะจนทำให้หน้ายิ่งดูกลมเพราะฉะนั้นทรงผมที่จะเหมาะก็ควรเป็นทรงที่ปิดแก้มได้ และช่วยหลอกตาให้หน้าดูเรียวทรงผมที่แนะนำสไลด์ผมเป็นเลเยอร์ให้รับกับใบหน้าถ้าใครอยากตัดผมสั้น ก็สามารถตัดได้ โดยจะเป็นผมบ๊อบ ระดับความยาวก็ควรประบ่า หรือระดับคาง เพราะถ้ามากไปกว่านี้อาจจะทำให้หน้าดูสั้นและก็กลมได้ถ้าใครอยากตัดหน้าม้า ให้ตัดผมด้านหน้าบังบริเวณช่วงขมับและกรอบหน้า หรือจะตัดด้านข้างในเป็นฟีลเหมือนมีลูกผม ก็จะช่วยให้ใบหน้าดูเล็กลงได้ถ้าจะทำผม ก็ให้เลือกเป็นทรงผมลอนคลาย ๆ มีวอลลุ่ม หรือทรงดังโงะสูง ช่วยยกให้หน้าดูยาวขึ้น และอย่าลืมเลือกเป็นผมหน้าม้าแบบปัดข้างจะทำให้หน้าดูได้รูปทรงต้องห้ามผมบ๊อบสั้นตัดตรงแบบทื่อ ๆ และหน้าม้าตรง เพราะจะเปิดทรงหน้าและทำให้แก้มเด่นได้ หน้ารูปไข่สาวที่มีใบหน้ารูปไข่ถือว่าโชคดีมาก ๆ เพราะทำทรงอะไรก็ดูจะเข้าหมดเลยเพราะมีใบหน้าเข้ารูปไม่มีจุดไหนต้องกังวล โอ้ยน่าอิจฉาาาาาาา เก๋เกินนนนทรงผมที่แนะนำจะบ๊อบสั้นแบบสาวเท่ หรือสาวแซ่บ ก็รอด!จะผมยาว แสกกลาง เชิ่ด ๆ มั่น ๆ ก็เอาอยู่!จะทำผมลอนเล็ก ลอนใหญ่ ลอนมาม่า ก็ปัง!จะหน้าม้า แสกกลาง แหวกข้าง ก็น่ารักทรงต้องห้ามถ้าจะตัดหน้าม้าต้องระวัง ไม่ตัดหน้าม้าที่ตรงและหนาเกินไปด้วยนะ เพราะอาจจะทำให้หน้าสั้นได้ นอกนั้นก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว ^^หน้าทรงเหลี่ยมอย่างที่บอกว่าใบหน้าของสาวทรงเหลี่ยม จะมีความเท่ และความเก๋อยู่เพราะฉะนั้นทรงผมถ้าจะทำออกไปทางแนวเท่เลย หรือเปรี้ยวเลยก็เริ่ดทรงผมที่แนะนำอาจจะเป็นผมยาวแบบมีเลเยอร์ ลอนสักหน่อย ก็จะลดความคมของกรอบใบหน้าและทำให้หน้าดูละมุนขึ้นได้หรือถ้าใครอยากรวบผมก็อาจจะมัดเป็นดังโงะ แต่ต้องปล่อยผมปอยข้าง ๆ ลงมาข้างแก้มนิดนึงจะช่วยทำให้ใบหน้าไม่ดูเหลี่ยมจนเกินไปใครอยากตัดผมสั้นก็สามารถทำได้เหมือนกัน อาจจะเป็นบ๊อบสั้นแล้วแสกข้างการเลือกตัดหน้าม้าแบบซีทรูก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะช่วยทำให้ใบหน้าดูเล็กลง และก็ละมุนมากขึ้นทรงต้องห้ามไม่ตัดผมที่สั้นจนเกินไปไม่ทำผมหน้าม้าตัดตรงหรือผมบ๊อบตรงทื่อ เพราะจะเพิ่มความเหลี่ยมให้กับใบหน้าไม่มัดผมรวบตึง เพราะจะเพิ่มเหลี่ยมมุมให้หน้าดูแข็งและมีเหลี่ยมเข้าไปอีก หน้าทรงยาวสาว ๆ รูปหน้าทรงนี้จะมีใบหน้าที่ยาว เพราะฉะนั้นการเลือกทรงผมก็ต้องเป็นทรงที่ช่วยลดความยาวของใบหน้าเพราะถ้าเราใบหน้าสั้นก็ช่วยให้ดูเด็กลงได้ด้วย และต้องเป็นทรงที่ช่วยเพิ่มความกว้างทางด้านข้างด้วยนะทรงผมที่แนะนำทรงผมควรเป็นทรงประบ่า หรือทรงที่มีความยาวปานกลาง เพราะจะช่วยทำให้ใบหน้าดูสมดุลอาจจะเพิ่มการดัดลอนคลาย ๆ หรือผมตรงดัดปลายงุ้ม ตัดผมหน้าม้าเพื่อช่วยพรางช่วงหน้าผากลดความยาวของใบหน้าได้ดัดลอนบริเวณด้านข้างของหน้าจะช่วยให้ใบหน้าดูกว้างขึ้นได้เลือกทำผมด้านหน้าเป็นปัดข้าง หรือหน้าม้าตรงที่ไม่หนามากก็ได้ทรงต้องห้ามไม่ตัดผมสั้นมากจนเกินไป และไม่ไว้ผมยาวมากจนเกินไป เพราะผมที่สั้นหรือผมที่ยาวมากเกินไป จะทำให้เห็นความยาวของโครงหน้าที่ชัดเจนหน้ารูปหัวใจจริง ๆ สาว ๆ ที่มีรูปหน้าทรงนี้ค่อนข้างเลือกทรงผมได้หลากหลายถ้าอยากบาลานซ์ให้ใบหน้าสมดุลก็ปิดหน้าผากนิดหน่อย เพื่อเน้นให้ช่วงหน้าผากดูสั้นลงรับกับช่วงคางที่มีพื้นที่น้อยก็ได้ทรงผมที่แนะนำความยาวของผมควรจะยาวเลยคาง อยู่ที่ประมาณช่วงบ่าจะซอยเป็นผมสั้น หรือสไลด์ไล่ระดับก็ได้หรือจะไว้ผมหน้าม้าปิดหน้าผากสักหน่อย แล้วดัดลอนให้เป็นวอลลุ่มเล็ก ๆ ใบหน้าก็จะดูสมส่วนขึ้นได้ทรงต้องห้ามไม่ควรไว้ผมสั้นหรือผม ที่ตรงแบบทื่อ ๆ เพราะผมที่ตรงจนเกินไป จะทำให้หน้าดูแข็งหน้ารูปเพชรสาว ๆ ที่มีทรงหน้ารูปเพชร จะมีโหนกแก้มที่โดดเด่น เพราะฉะนั้นทรงผมก็จะต้องเป็นทรงที่มาช่วยปิดโหนกแก้มของเรา ก็จะช่วยทำให้ใบหน้าดูสมส่วนมากขึ้นทรงผมที่แนะนำการไว้ผมสั้นประมาณคางจะเป็นตัวเลือกที่ดี ช่วยให้ใบหน้าดูสมส่วน และรับกับหน้าได้ดีทำทรงที่มีเลเยอร์ มีวอลลุ่ม จะช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับใบหน้าช่วงล่างใครอยากตัดผมสั้นก็เลือกเป็นผมซอยสั้นมีหน้าม้าก็ได้เหมือนกันตัดหน้าม้า หรือปอยผมที่ช่วยปิดโหนกแก้มของเราจะยิ่งเหมาะมาก นอกจากช่วยลดโหนกแก้มแล้วยังช่วยให้หน้าไม่แข็งจนเกินไปได้อีกด้วยทรงต้องห้ามไม่แสกกลาง เพราะจะทำให้เห็นโครงหน้าชัดเจนขึ้นไม่แนะนำให้ดัดลอน เพราะการดัดก็จะทำให้โครงหน้าของเราดูชัดขึ้นกว่าเดิมเป็นยังไงกันบ้างสาว ๆ ใครพร้อมที่จะเปลี่ยนลุคไปด้วยกันแล้วบ้าง ทีนี้เวลาที่ใครอยากตัดผม หรือเปลี่ยนทรงผม เราก็มีวิธีเช็กพร้อมกับทรงผมมาให้เรียบร้อย แต่อย่างว่า ในโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่ตายตัว ทรงผมก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราตัดทรงไหนแล้วมั่นใจ หรือผมทรงไหนที่ทำแล้วรู้สึกว่าชอบก็ไม่ติดเลยน้า เพราะนี่เป็นแค่แนวทางให้กับทุกคนเฉย ๆ อยู่ที่สาว ๆ แล้วว่าจะเลือกมาทางไหน ถ้าหาทางเลือกไม่ได้ บทความของเราก็น่าจะช่วยคุณเลือกทรงผมได้อยู่น้าาาาา

11 มี.ค. 2024

ทำยังไงให้ไตแข็งแรง

1.รักษาระดับอารมณ์ ให้คงที่อยู่เสมอแพทย์แผนจีนกล่าวไว้ว่า ความกลัวทำร้ายไต คนที่เป็นโรคไตไม่ควรเครียด ต้องทำจิตใจให้สงบ ทำให้สดชื่น รู้จักผ่อนคลาย คนที่มีปัญหาทางด้านไต จะเป็นคนที่หงุดหงิดง่าย อารมณ์เสียบ่อย น้อยใจง่าย2.ไม่หักโหมกับการทำงานการทำงานหามรุ่งหามค่ำ เป็นบ่อเกิดแห่งความเครียด และการพักผ่อนน้อย ทำให้สมองแล่นตลอดเวลา การที่สมองเราเแล่นตลอดเวลา ทั้งกลางวันและกลางคืน จะทำให้เราสูญเสียพลังชี่และพลังจิงที่บำรุงสมองไตเป็นอวัยวะที่สร้างสารจิงไปเลี้ยงสมองสมองคิดช้า เพราะไตไม่สามารถส่งสารจิงไปเลี้ยงสมองได้เพียงพอ คนที่มีปัญหาทางไตจะมีอาการคิดอะไรช้า คิดไม่ออก และเครียดง่ายค่ะ3.อย่าให้ระบบทางเดินอาหารขาดสมดุลคนที่มีปัญหาระบบไตพลังจากไตจะไม่ส่งผลไปที่กระเพาะอาหารและม้าม จะทำให้มีอาการท้องอืดบ่อยถ่ายไม่ออกคลื่นไส้ง่าย อาการเหล่านี้เป็นเพราะในแพทย์แผนจีนไตกำกับปัสสาวะและอุจจาระการที่ไตไม่มีพลังชี่เพียงพอกับการขับปัสสาวะจะทำให้ปัสสาวะออกช้ากระปิดกระปอยออกน้อยไม่สุดปัสสาวะกลางคืนบ่อยถ้าหากไตไม่มีพลังชี่ไปขับอุจจาระ จะท้องผูกง่ายท้องอืดบ่อยเหนื่อยง่ายการบำรุงไต ได้ด้วยวิธีง่ายๆ1.ถูเอวบำรุงไตการถูให้ความร้อนบริเวณเอวบ่อยๆจะช่วยเสริมพลังหยางให้กับไต เหมาะสำหรับปัสสาวะบ่อยเวลากลางคืน2.นวดท้องน้อยเพิ่มพลังชี่นวดบริเวณใต้สะดือ จะช่วยกระตุ้นการขับถ่ายให้ดีขึ้นค่ะ3.นวดใบหูเสริมไตให้แข็งแรงการนวดใบหูให้นวดจากบนลงล่าง จะช่วยสะท้อนจุดต่างๆของใบหู เสริมร่างกายและเสริมพลังไตได้ค่ะนอกจากดูแลใจแล้วอย่าลืมดูแลไตด้วยนะคะ เพราะไตถือเป็นอีกหนึ่งอวัยวะที่สำคัญมาก ทำหน้าที่ขับของเสียออกจากร่างกายดังนั้นการดูแลไตจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องให้ความสำคัญไม่แพ้ใจเลยค่ะ ^^ขอบคุณข้อมูลและความรู้ดีดีจากคุณหมอตี้ค่ะ Facebook : ดร เยาวเกียรติ แพทย์จีน ฝังเข็มCollector by รุ่งโนรี ’Girl Music Travel Lover

20 ก.พ. 2024

ทำสวย-ทำหล่อ บริจาคโลหิตได้หรือไม่?

เรื่องของความสวยงามกับคุณสุภาพสตรีมักเป็นของคู่กัน แต่ในยุคปัจจุบันคุณสุภาพบุรุษได้เริ่มหันมาดูแลตัวเองมากยิ่งขึ้นเช่นกัน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเพื่อคงไว้ซึ่งความอ่อนเยาว์ และความกระจ่างใสของผิวพรรณและใบหน้า ตัวช่วยในการเพิ่มความสวย ความหล่อ เพื่อเสริมความมั่นใจให้ตัวเองมากยิ่งขึ้น หลาย ๆ คนคงนึกถึงการเสริมความงามด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ ที่เรียกว่า หัตถการความงามทาง ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย จึงมาชวนทุกท่านร่วมค้นหาคำตอบไปพร้อมกันว่า “คนสวยหล่อใจบุญ สามารถบริจาคโลหิตได้หรือไม่?” หัตถการแบบไหนสามารถบริจาคโลหิตได้ทันทีหลังเข้ารับบริการ หรือแบบไหนต้องงดบริจาคโลหิต หรือต้องเว้นระยะเวลานานแค่ไหน มาไขข้อสงสัยไปพร้อมกันเลย 1. ทำทรีตเมนต์ ยกกระชับผิว : หลังเข้ารับบริการสามารถบริจาคโลหิตได้ 2. การรักษาสิว กระ จุดด่างดำ ขี้แมลงวัน ริ้วรอย แผลเป็น เนื้องอกที่ไม่ใช่มะเร็ง ติ่งเนื้อ หูด ปาน ไฝ รอยสัก และกำจัดขนด้วยเลเซอร์ : หากไม่มีการอักเสบหลังเข้ารับบริการ สามารถบริจาคโลหิตได้ แต่ถ้ามีการอักเสบ รอให้แผลหายดีก่อนจึงจะบริจาคโลหิตได้ 3. การฉีดวิตามิน ฉีดโบท็อกซ์ ฉีดฟิลเลอร์ ฉีดเมโส ฉีดกลูตาไธโอน ปรับรูปหน้าเรียว วีเชฟ กดสิว ฉีดสิว ร้อยไหม : หากเสริมความงามจากคลินิกทั่วไป ที่ไม่ใช่โรงพยาบาล หลังเข้ารับบริการให้งดบริจาคโลหิต 4 เดือน แต่ถ้าทำที่โรงพยาบาล สามารถบริจาคโลหิตได้ 4. รับประทานยารักษาสิว (Anti-acne) ยาปฏิชีวนะ (Antibiotic) ที่ใช้เพื่อป้องกันการติดเชื้อในกรณีสิว ได้แก่ เตตราซัยคลิน (tetracycline) คลินดาไมซิน (clindamycin) มิโนไซคลีน ( minocycline) ด็อกซีไซคลิน(doxycycline) อีรีโทรมัยซิน (erythromycin) ไลมีไซคลีน (lymecycline) และ ออกซีเตตราไซคลีน (oxytetracycline) เป็นต้น ในกรณีเป็นสิวที่ไม่มีการอักเสบ แต่มีการใช้ยาทั้งชนิดรับประทานและทาผิวหนัง หรือใช้ชนิดทาผิวหนังเพียงอย่างเดียว หลังใช้สามารถบริจาคโลหิตได้ แต่!! หากอยู่ระหว่างการใช้ยาเพื่อรักษาภาวะอักเสบของสิว ต้องรอจนกว่าอาการอักเสบหายดีแล้ว อย่างน้อย 2 สัปดาห์ และใช้ยาครบจำนวนตามสั่งของแพทย์ มาแล้วอย่างน้อย 1 สัปดาห์ จึงจะบริจาคโลหิตได้ ยา Retinoids (กลุ่มอนุพันธ์วิตามิน เอ) : ต้องงดบริจาคโลหิตชั่วคราว เนื่องจากยาในกลุ่มนี้ มีผลทำให้เกิดความพิการของทารกในครรภ์ได้ มีเงื่อนไขการหยุดยาก่อนการบริจาค ดังนี้ - ยา Isotretinoin (Roaccutane®) ต้องหยุดยาอย่างน้อย 1 เดือน - ยา Acitretin (Neotigason®) ต้องหยุดยาอย่างน้อย 2 ปี - ยา Etretinate (Tigason®) งดบริจาคโลหิตถาวร 5. รับประทานอาหารเสริม และ สมุนไพร : วิตามินทุกชนิด เวย์โปรตีน แอลคาร์นิทีน คอลลาเจน กลูตาไธโอน เลซิตินอี อาหารเสริมที่มีไบโอติน ฟ้าทะลายโจร โสม ถั่งเช่า สามารถบริจาคโลหิตได้ 6. แต่หากเป็นน้ำมันตับปลา น้ำมันปลา และขมิ้นชัน ต้องงด 3 วัน ก่อนบริจาคโลหิต เพราะมีผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือดรู้อย่างนี้แล้ว คนสวยหล่อ ใจบุญ ไม่ต้องกังวลใจไป ขอเพียงปฏิบัติตามเกณฑ์การรับบริจาคโลหิต แล้วเตรียมร่างกายให้พร้อมทุกครั้งที่บริจาค โลหิตของเราก็จะมีคุณภาพ เพียงพอที่จะช่วยต่อลมหายใจ ให้ผู้ที่เจ็บป่วยได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามการบริจาคโลหิตยังมีประโยชน์อีกมากมายต่อตัวผู้บริจาคเองด้วยซึ่งมีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าการบริจาคโลหิตทุก 3 เดือน ช่วยลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคหัวใจ และหลอดเลือดสมอง ทั้งยังช่วยเพิ่มไขมันดี ยับยั้งการทำลายหลอดเลือดของไขมันไม่ดี ที่สำคัญยังช่วยลดการสะสมของเหล็กที่ผิวหนัง ซึ่งช่วยทำให้ผิวพรรณกระจ่างใส และชะลอความร่วงโรยของผิวหนัง ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการช่วยเสริมสุขภาพ และความงามอีกด้วย “ให้โลหิต ให้ชีวิต ให้ประจำ ทำได้ทุก 3 เดือน” พร้อมแล้วเราไปบริจาคโลหิตกันเลย*******************************ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จากฝ่ายจัดหาโลหิตและสื่อสารองค์กร ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทยโทรศัพท์ 02 256 4300, 02 263 9600-99 ต่อ 1760, 1761

07 ก.พ. 2024

เรื่องสิวสิวจากนมวัว

ใคร ๆ ก็บอกว่าการดื่มนมทุกวันมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แล้วมันดีต่อสุขภาพจริงไหม ทำไมดื่มแล้วสิวถึงขึ้นล่ะ แล้วนมทำให้สิวขึ้นจริงหรือเปล่า วันนี้เรามาตอบข้อสงสัยกันนมวัวมีประโยชน์จริงหรือเปล่า ?นมวัวมีประโยชน์จริง เพราะอุดมไปด้วยสารยสารอาหารที่มีคุณประโยชน์หลายชนิด หลัก ๆ ก็คือแคลเซียมที่ช่วยดูแลกระดูก และช่วยให้ฟันแข็งแรง มีโพแทสเซียมช่วยป้องกันโรคหัวใจ รวมถึงวิตามินบี แร่ธาตุต่าง ๆ ที่ช่วยป้องกันโรคเบาหวานการดื่มนมวัวทำให้สิวขึ้นจริงเหรอ ?จากการวิจัยของแพทย์ผิวหนังที่ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า “นมวัว” มีส่วนทำให้ผู้ที่เป็นสิวที่เกิดจากฮอร์โมน เป็นสิวเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากกระบวนการในการย่อยนมของร่างกายนั้นจะทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโตขึ้นมา ทำให้ฮอร์โมนที่ทำให้เกิดสิวอย่าง แอนโดรเจน ก็ถูกผลิตขึ้นมาเพิ่มด้วย นอกจากนั้นในนมวัวที่รีดออกมาจากแม่วัวที่เพิ่งคลอดลูก ก็จะมีฮอร์โมนสูง ทำให้เวลาที่คนเราดื่มนมเข้าไป ฮอร์โมนในนมวัวเหล่านี้กลับไปกระตุ้นต่อมไขมันของเราให้ทำงานมากขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการหน้ามัน และเป็นสิวตามมา สำหรับคนที่มีปัญหาสิวฮอร์โมน ควรจะเปลี่ยนมาดื่มนมที่เป็นสารสกัดจากพืชแทน เช่น นมถั่วเหลือง หรือนมข้าว เป็นต้นตอนนี้เราก็ได้รู้แล้วว่าผลข้างเคียงจากนมวัวสามารถทำให้สิวเราขึ้นได้เหมือนกัน แต่เราไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องงดการดื่มนมไปเลย ซึ่งเราสามารถเลี่ยงไปดื่มนมแพะ นมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์ หรือน้ำนมข้าวแทนได้ เพราะคุณค่าทางสารอาหารมีประโยชน์ วิตามิน ที่สามารถทดแทนนมวัวได้เหมือนกันที่มา https://www.wongnai.com/articles/6-acne-treatment-doubthttps://www.sanook.com/health/31693/Author : DODOMILK

06 ก.พ. 2024

เปิดมุมมอง LGBTQ+ Idol กับ พินเนอร์ STARDASH

ในปัจจุบันเชื่อว่าทุกคนคงจะเคยได้ยินคำว่า “วงไอดอล” กันมาบ้างอยู่แล้วเป็นคำที่เราเห็นคุ้นชินถึงบุคคล หรือ กลุ่มคน ที่เก่งทั้งเต้น ร้อง มอบความสดใส และส่งต่อกำลังใจให้แก่ผู้ชมอย่างเรา ๆ ได้เป็นอย่างดีจะทั้ง ไอดอลชาย หรือไอดอลหญิง ก็เป็นที่โด่งดังมากในยุคสมัยนี้ แล้วไอดอล LGBTQ+ ละเราเคยรู้จักกันหรือเปล่า?“ Idol ” หรือ ไอดอล เป็นคำสั้น ๆ แต่กลับมีความหมายแฝงมากมาย หากอ้างอิงตามหลักพจนานุกรมของไทยเรานั้น แปลได้ว่า “คนหรือสิ่งที่ได้รับความชื่นชมหรือคลั่งไคล้อย่างมาก” หรือ “รูปเคารพ เทวรูป” แต่หากพูดกันตามความเข้าใจของทุกท่านนั้น คงจะหมายถึง บุคคลแบบอย่าง หรือ บุคคลที่จะมอบความ สดใส และเป็นแรงบัลดาลใจให้กับใครหลายๆคนวันนี้ Green Wave จะพาทุกท่านมารู้จักกับ คุณพิณ พินเนอร์ เรณุกา ปัญญาคุ้มวงศ์ หรือ พินเนอร์ ‘STARDASH’(สตาร์แดช) ไอดอล LGBTQ+ คนแรกของประเทศไทย ที่จะทำให้เราได้เห็นถึงมุมมองที่หลากหลายของคำว่า “ไอดอล”จุดเริ่มต้นการเป็น Idol“ตัวพินเนอร์เอง เคยได้รับโอกาศจากผู้ใหญ่เป็นไอดอลอยู่ในค่ายๆนึง แต่ในตอนนั้นตัวพินเนอร์เอง ด้วยความที่อายุยังน้อย และการควบคุมอารมณ์ กับปัจจัยอีกหลายๆอย่างที่ทำให้ พินเนอร์เองไม่เป็นตัวเองเท่าไหร่นัก สุดท้ายก็เลยไม่ได้ไปต่อ ทำให้พินเนอร์มีปมในใจว่า ตัวเราเองนั้นยังไม่เคยขึ้นเวทีเลยสักครั้ง แต่ด้วยความฝันและความชอบที่อยากเป็นไอดอล พินเนอร์จึงได้ตัดสินใจทำวงไอดอลขึ้นมา ทำให้เกิดวง STARDASH ขึ้นมา และมีเพลงแรกออกมาในปี 2019 ค่ะ”ที่มาของชื่อ ‘STARDASH’(สตาร์แดช)“คำว่า STARDASH (สตาร์แดช) นะคะ มาจากคำว่า Stardust (สตาร์ดัช) ที่แปลว่า ละอองดาว เปรียบกับคนที่ไล่ตามความฝัน แต่แตกสลายไม่รู้จนกี่ครั้ง แต่ไม่อยากหยุดฝัน พุ่ง DASH ตัวเองออกไปข้างหน้าเพื่อไล่ตามความฝันต่อไป จาก STARDUST จึงกลายมาเป็น STARDASH ค่ะ”Idol ในมุมมองของคุณพินเนอร์นั้นคืออะไร“คำว่าไอดอล แปลตรงตัวสำหรับคนไทยเลย นั้นคือ บุคคลตัวอย่างค่ะ แต่สำหรับตัวพิณเองนั้นชอบดูการ์ตูนค่ะ เป็นการ์ตูนแนวไอดอล อย่าง Love Live! School Idol ทำให้เรามองว่า ไอดอล คือเหล่าผู้คนที่เปล่งประกาย ที่จะมอบแรงบัลดาลใจ ความฝันให้แก่ผู้อื่นได้ เราจึงอยากเป็นคนหนึ่ง ที่เป็นแรงบัลดาลใจ เป็นความสุข เป็นรอยยิ้ม เป็นเสียงหัวเราะ และสร้างพลังบวกให้กับพวกเขาได้ค่ะ”Idol กับ LGBTQ+“ในมุมมองของพิณเอง มองว่า LGBTQ+ เป็นอะไรที่ปกติมาก ก็เหมือนมนุษย์อย่างเราๆที่มีความหลากหลายไม่ว่าจะทั้ง ความเชื่อ ทั้งนิสัย เพศก็มีความหลากหลายเช่นเดียวกัน พิณจึงมองว่าจะ หญิง หรือ ชาย หรือ LGBTQ+ เองนั้นไม่มีความแตกต่าง หรือต้องแบ่งแยกกันเลยค่ะ เหมือนกับความเป็นไอดอลที่แต่ละวงก็จะมีความชอบ นิสัย แนวเพลงที่แตกต่างกัน ทำให้พิณมองว่า ไม่ว่าคุณจะเป็น ชาย หญิง กระเทย LGBTQ+ หรือไอดอล หรือเพศใด ๆ ก็ตาม ทุกคนก็เป็นมนุษย์เหมือน ๆ กัน มีความรู้สึก รัก โลภ โกรธ หลง เสียใจ ดีใจ ขอให้เอาใจเค้ามาใส่ใจเรา ให้เกียรติกันและกันไม่สร้างความเดือดร้อนก็เพียงพอค่ะพิณเป็นไอดอลคนแรกๆเป็น LGBTQ+ ในไทย อย่างญี่ปุ่นที่เป็นต้นกำเนิดไอดอลนั้น วงLGBTQ+ ก็มีมานานแล้วค่ะ กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ พิณก็ผ่านอะไรมาหลาย ๆ อย่างเลย แต่รู้สึกดีใจที่ได้ทำตามความฝัน ไม่อยากให้ LGBTQ+ ในไทยมองว่า เป้าหมายของเรามีแค่ เวทีนางงาม เพียงอย่างเดียว อยากให้เห็นว่า เราเป็นได้ทุกอย่างตามที่ความฝันเราอยากจะเป็นไม่ว่าจะเป็น ศิลปิน หรือเป็นไอดอลเองก็ตาม”รู้สึกอย่างไรหากมีคนเรียกเราว่าเป็น กะเทย ตุ๊ด สาวสอง“พิณมองว่า มันเป็นอัตลักษณ์ทางเพศของเราค่ะ จะเรียกว่ากะเทย ตุ๊ด สาวสอง หรืออะไรก็ตาม พิณไม่ได้มองว่า คำเหล่านี้มันกลายเป็นคำดูถูกหรือเหยียดหยาม เราจะเป็นผู้ชายแต่งหญิง กะเทยแต่งหญิง ถ้ามันเป็นความชอบของตัวเราเอง ก็ให้เกียติตัวเองให้เกียติผู้อื่น และไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนก็เพียงพอค่ะ”ความเป็นไอดอล ในแบบของตนเอง“ตัวพิณเอง ก็ไม่ถือว่าเป็นไอดอลตรงตามฉบับที่คนอื่น ๆ คุ้นเคยเท่าไหร่ พิณค่อนข้างจะมีความพูดตรง ๆ หรือบางครั้งก็พูดแรงออกไปบ้าง ภาพลักษณ์เลยอาจจะดูเป็นไอดอลแรง ๆ ซึ้งพิณเองก็ยอมรับว่าในบางครั้งมันก็ไม่ดีหรอก แต่แฟนคลับหลาย ๆ คนก็เข้าใจเราค่ะ เราอยากให้เห็นถึงความหลากหลายของไอดอลเหมือนกัน ว่าเป็นคนที่มีอารมณ์ และความรู้สึกเหมือนกันให้เห็นถึงความหลากหลายของการเป็นไอดอลค่ะ ไม่ได้ติดภาพจำว่าไอดอลต้องเป็น บุคคลที่น่ารักสดใสเพียงอย่างเดียว พิณเองก็มีกลุ่มคนที่ไม่ชอบพิณ โดนพิมพ์คอมเม้นต์แย่ๆใส่อยู่บ่อยครั้ง แต่พิณมองว่า หากเค้าไม่ให้เกียรติเรา เราคงทำอะไรไม่ได้ เพราะสุดท้ายแล้วคนที่ไม่ชอบเรา ทำยังไงเค้าก็ไม่ชอบเราอยู่ดี อยากให้เราใส่ใจตัวเองรักตัวเอง ลงมือทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนดีกว่าค่ะ สร้างความสุข สร้างแรงบัลดาลใจ สร้างความฝัน ให้กับผู้อื่นดีกว่า อย่าเอาคำเหล่านั้นมาด้อยค่าตัวเองเลย ภูมิใจกับความเป็นตัวเองไว้ดีกว่า เพราะก็ไม่รู้ว่า ‘เราจะอยู่กับการไม่ภูมิใจในตัวเองไปทำไม’ ”รูปร่างหน้าตาไม่ดี จะมาเป็นไอดอล ?“พิณ มองว่าทุกคนสามารถดูดีได้สามารถ สวย หล่อ เท่ น่ารักได้หมดค่ะ แต่การที่เราจะดูดี ก็ขอให้เรานั้นดูดีเพื่อตัวเราเอง สวยเพื่อตัวเราเอง อย่าพยายามสวยเพื่อให้ผู้อื่นมองว่าสวยแต่ตัวเรานั้นเหนื่อยหรือทุกข์ใจ เพราะพิณ เชื่อว่า ความสวยที่เรามอบให้แก่ตนเองนั้น มันหมายถึง การที่เรารักตัวเอง เพราะเรารักตัวเองจึงได้ดูแลตัวเอง อยากให้ทุกคนทำอะไรเพื่อตัวเอง เพราะทุกคนมีชีวิตนี้แค่ครั้งเดียว อายุ 26 ครั้งเดียว 27 ครั้งเดียว เลยอยากให้ทุกคนกล้าที่จะทำอะไรเพื่อตนเอง รักตัวเองให้มากๆ และมีความกล้าที่จะทำความฝันค่ะ”หากในอนาคตมี มีวง ไอดอล LGBTQ+ เกิดขึ้นมาในประเทศไทยมากขึ้น“พิณอยากให้ทุกคนเปิดรับให้มากขึ้นค่ะ ไม่อยากให้ไอดอล จำกัดอยู่แค่เพศใดเพศหนึ่ง และก็อยากฝากว่า อย่าล้อเล่นกับความฝันของคนอื่น ไม่ว่าจะจากทางบริษัทเอง ไม่อยากให้เปิดรับเพียงเพราะเอากระแสหรือด้านธุรกิจเพียงอย่างเดียว เพราะอย่าลืมว่า ไอดอลก็เป็นมนุษย์ และพวกเขามีความฝัน ความเสียใจ ความดีใจ ความผิดหวัง เหมือนอย่างเราๆ นี่แหละค่ะ หรือทั้งจากผู้ที่อยากเป็นไอดอลเองก็ตาม ไม่อยากให้ทำเล่นๆ เพราะเมื่อได้รับเลือกแล้ว ก็จะมีคนที่ไม่ได้รับเลือกด้วยเช่นกัน อยากให้เต็มที่และเต็มใจที่จะเป็นไอดอล ผู้ที่มอบ แรงบัลดาลใจ ความฝัน ความสุข ความสนุก และรอยยิ้มให้แก่ผู้อื่นค่ะ”“ขอฝากวง STARDASH วงไอดอลที่จะมอบแรงบัลดาลใจ ความสุข ความสนุก ร้อยยิ้มและเสียงหัวเราะให้แก่ทุกคนด้วยนะคะ เร็วๆนี้ภายในปี 2024 ก็จะมีเพลงใหม่ๆออกมากันด้วย ฝากติดตามกันด้วยนะคะ”IG : pinnerz.stardashFackbook : PinNerz STARDASHTIKTOK : @pinnerz_stardashAuthor : MIKA_MIKAZUKI สิริชัย จันทร์เจริญ

LOVE INSPIRED

14 ก.พ. 2023

เพราะรัก....คงไม่ต้องยอมไปซะทุกอย่าง

สุขสันต์เดือนแห่งความรักนะคะเดือนที่มีจำนวนวันน้อยกว่าใคร แต่ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษเดือนแห่งความคาดหวังโสดเดือนไหนไม่เหงาเท่าโสดเดือนกุมภาพันธ์ อกหักเดือนไหน ไม่ปวดใจเท่าอกหัก เดือนแห่งความรักหรือแม้แต่ปกติก็ดูเข้าใจกันดีพอถึงวันนี้ ต่อมน้อยใจ อาจทำงานหนักเป็นพิเศษ ทำไมฯไม่ทำอย่างนั้น โทรฯไปไม่รับสายงานจะยุ่งอะไรนักหนามาหากันซักนิดก็ไม่ได้บางคนน่ารักมา 300กว่าวัน แค่กุมภาพันธ์ ไม่ค่อยได้ดั่งใจเธอ อาจเผลอตัดสินกันไปแล้วว่า ไม่โรแมนติกเลยนะแฟนเรา.... ในฐานะคนทำ Club Fridayมาเกือบ 20 ปี เดือนนี้ก็จะขายดีเป็นพิเศษ เจอหน้าค่าตากันบ๊อย บ่อย อย่าเพิ่งเบื่อกันก่อนนะคะที่แปลกอีกอย่างเดือนนี้เป็นเดือนที่มีผู้คนมาเล่าปัญหาความรักให้ฟังมากกว่าเดือนอื่น ๆเรื่องเศร้าแค่เล่า ก็เบาลงค่ะหัวใจพังพร้อมรับฟังเสมอ แต่ละเรื่องราวความรักจะมีวิธีคิดให้ชีวิตคนอื่น ๆ เสมอ ล่าสุดมีน้องผู้ชายคนหนึ่งบุคลิกดีเชียว มาเล่าความรักของน้องให้ฟังน้องไปเจอแฟนใน แอป ฯ หาคู่ค่ะเจอกัน คุยกันคลิกกันแค่ต้องยอมรับในเงื่อนไขข้อเดียวที่อีกฝ่ายเสนอมาคือ “ เธอต้องแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่งนะ พ่อแม่สองฝ่ายหมั้นหมายกันไว้แล้วไม่ได้รักคน ๆ นั้นเลย แต่ต้องทำตามพ่อแม่ขอ และตอนนี้ยังไม่อยากไปใช้ชีวิตต่างจังหวัดด้วยช่วยดูแลหัวใจเราหน่อยนะ เราอยากมีแฟนอยู่ในกรุงเทพฯ”อย่างงี้ก็ได้เหรอ คนหนึ่งกล้าขอว่า..งง..แล้ว อีกฝ่ายกล้าให้ยิ่งงงกว่าตอนนี้ก็ยังคบกันอยู่ค่ะ เป็นแฟนเฉพาะในเขต กทม.มีตัวตนเฉพาะในเมืองหลวงของประเทศไทยเขากลับไปหาคู่หมั้นเมื่อไหร่ เราต้องกลายเป็นคนสาบสูญก่อนหน้านี้เธอก็มีผู้ชายอีก 2 คนที่เป็นแฟนเฉพาะใน กรุงเทพฯแต่เลิกกันไปแล้ว 1 คนพยายามจะประกาศตนเป็นเจ้าของกับอีก 1 คนพยายามไปเปิดตัวกับพ่อแม่ของฝ่ายหญิงเลยถูกทิ้งซะเลย คนปัจจุบันเลยผันตัวเป็นกิ๊กคุณภาพ อยู่ในที่ที่ควรอยู่รู้ว่าตอนไหนควรโทรฯหรือไม่โทรฯ โอ้โห!!ช่างอำนวยความสะดวกในการทรยศแฟนของผู้หญิงคนหนึ่งได้ดีจริง ๆปัจจุบันไม่ใช่แค่แฟนแล้วค่ะ เป็นสามีอย่างเป็นทางการเพราะผ่านพิธีแต่งงานเรียนร้อยน้องผู้ชายคอยถามอยู่เรื่อย ๆ ว่า แล้วต้องเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆหรือ? เมื่อไหร่? จะเลิกล่ะ ในเมื่อแต่งงานให้พ่อแม่ตามที่เขาขอแล้วนี่นา น้องผู้หญิงได้แต่บอกว่าไม่อยากให้ผู้ใหญ่มีปัญหากันตอนนี้เราก็รักกันดีนี่นา!! ประโยคเดียวที่ทำให้ผุ้ชายคนหนึ่งกลายเป็น โอท็อปประจำจังหวัด 1 จังหวัด1 ความสัมพันธ์ ได้แต่บอกกันว่า น้องคะ คนทุกคนมีค่าเกินกว่าจะต้องเป็นคนที่มารอเวลาเหลือ ๆ ของเขากับสามี ความเห็นแก่ตัวทำให้เขาไม่เห็นแก่หัวใจใครซักคน ผู้ชายที่เป็นสามีแม้จะผ่านพิธีเป็นได้แค่สามีที่ถูกสวมเขากับเรา เป็นได้มากที่สุดก็แค่ ชู้ ของแถมนอกบ้านเขาอยากมีตัวตนขึ้นมาเมื่อไหร่ กลายเป็นผิด แต่ก่อนทำไมอยู่ได้... เมื่อเป็นตัวสำรองอย่างเต็มใจทำไมเขาต้องให้เราเป็นตัวจริงล่ะคะสามีจังหวัดนั้นก็มี แฟนจังหวัดนี้ก็ดีต่อใจ “คนอดทน” มัก ไปรักกับ “คนเห็นแก่ตัว” เธอเลยสบายไป ไม่ต้องรับผิดชอบหัวใจใครซักคนความอดทนจะไร้ค่าถ้าเสียเวลาทน ๆ กับคนที่ไม่คู่ควรเลยซักนิด อย่ามัวแต่ตั้งคำถามว่า เธอทำอย่างนี้ได้ยังไงถามใหม่ เรายอมเงื่อนไขที่ด้อยค่าตัวเองแบบนี้ได้ยังไง… เพราะรักไม่จำเป็นต้องยอมทุกอย่างเดือนแห่งความรัก อย่ามัวแต่บอกรักคนอื่นเสียงดัง ๆ แต่บอกรักตัวเอง ฟังไม่ค่อยได้ยิน รักใครทำให้เจ็บรักตัวเองน่าทำให้เรารอดนะคะ...ทุกคน

05 ก.ย. 2022

รวมเพลงฮีลใจ คนอกหัก รักนี้ต้อง Move on

ช่วงนี้มีคนขอเพลงฮีลใจกันมาเยอะมากทางคลื่น Green Wave 106.5 FM วันนี้แอดเลยมารวมเพลงฮีลใจให้เพื่อน ๆ กรีนเวฟกันซะเลยค่ะ ความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก เป็นสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ ขนาดความรู้สึกของเราเอง เรายังห้ามไม่ได้เลย แล้วเราจะไปห้ามไม่ให้เค้าหมดรักเราได้อย่างไร จริงมั้ยคะ?ภาพจาก : freepik.comเมื่อการเลิกลาเกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าสาเหตุอะไรก็ตามแต่ มันเป็นอดีตไปแล้วค่ะ เราต้องดึงตัวเอง “กลับมาอยู่กับปัจจุบัน” และที่สำคัญ “กลับมารักตัวเอง” เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่ไม่มีวันทิ้งเราไปก็คือ “ตัวเราเองค่ะ” กลับมาฮีลใจตัวเอง ด้วยการฟังเพลงให้กำลังใจ แอดนำมาฝาก 10 บทเพลงด้วยกัน เพราะแอดอยากให้ทุกคนรู้ว่า…“ คุณไม่ได้อยู่คนเดียว คุณยังมีบทเพลงอยู่เป็นเพื่อนปลอบใจ”1.ก้อนหินก้อนนั้น - โรส ศิรินทิพย์2.ผู้ชายห่วยๆ – มาช่า3.แชร์ (Share) - POTATO4.เล่าสู่กันฟัง - เบิร์ด ธงไชย5.ครึ่งหนึ่งของชีวิต - แอม เสาวลักษณ์6. อกหัก - Bodyslam7.เรื่องธรรมดา - co*ckTAIL8.ครั้งหนึ่งไม่ถึงตาย – KLEAR9.ปล่อย - ป๊อบ ปองกูล10.ทุกคนเคยร้องไห้ - ป้าง นครินทร์แอดหวังว่า 10 เพลงฮีลใจนี้ จะช่วยเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังอกหัก หรือเจอเรื่องแย่ ๆ ในชีวิต ให้ลุกขึ้นมาได้บ้างนะคะ การที่เราร้องไห้ ไม่ได้แปลว่าเราอ่อนแอ แต่มันคือหลักฐาน ว่าเรายังมีหัวใจต่างหากค่ะ

01 ก.ย. 2022

รวมแคปชั่นคนอกหัก จี๊ดที่สุด! เจ็บที่สุด! จากพี่อ้อยพี่ฉอด

เป็นเรื่องปกติของคำว่า “ความรัก” เมื่อมีคนหนึ่งเดินออกจากความสัมพันธ์ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการ “การทำใจ”ช่วงเวลานี้แหละที่เราเรียกว่า อกหัก แล้วเวลาอกหัก บางคนก็ชอบระบายความเจ็บปวดด้วยการร้องไห้ ไปสังสรรค์กับเพื่อน ๆ หรือทำกิจกรรมที่ชอบ เพื่อลืมเรื่องราวในอดีต ส่วนบางคน ขอโพสต์ระบาย ผ่านโลกโซเชียล เพื่อเป็นสื่อกลางความรู้สึก ช่วงเวลาแห่งการเยียวยานี้ จัดไปกับคำคมโดน ๆ จาก Club Friday แคปชั่นจาก พี่อ้อย พี่ฉอด เอาไปโพสระบายกันรัว ๆ ได้เลยค่ะ“อย่าเอาความสุขของเรา ไปผูกไว้กับขาของใครเพราะถ้าเขาขยับไปทางไหน ก็เหยียบหัวใจเราอยู่ดี”“คำว่ารัก พูดบ่อยอาจไม่มีค่าแต่ถ้าพูดช้า อีกคนอาจจะทนรอไม่ไหว”“เจ็บก็ร้องไห้ วันไหนยิ้มได้ค่อยเดินหน้าต่อ”“การทุ่มเทความอดทนให้กับคนบางคน ไม่มีผลเพราะเขาคงมองไม่เห็นอะไรมากไปกว่าความเห็นแก่ตัวของเขาเอง”“รักไม่ใช่การทำทาน อย่าอ้างว่าสงสารเลยต้องแกล้งรัก”“อกหักเสียใจ…ก็แค่ใช้ชีวิตให้ได้ไปทีละวันรอดทีละวัน เดี๋ยวก็รอดทุกวัน”“ไม่ต้องเสียเวลาหาเหตุผลกับคนที่จะไปเพราะสุดท้ายไม่ว่าเหตุผลอะไร คนจะไปก็คือไป”เป็นอย่างไรบ้างคะ? แคปชั่นที่แอดนำมาฝาก นี้แค่เสี้ยวเดียวเท่านั้นนะคะ! ถ้ายังเจ็บไม่หนำใจ ไปเจ็บต่อได้ในรายการ Club Friday และยังมีคำคมอีกเพียบ เข้าไปดูได้ที่ FB : GreenWave Fanpage และ IG : greenwave1065 เลย!ร้องให้สุด แล้วหยุดที่ยิ้ม กลับมายิ้มให้ได้นะคะ แอดเป็นกำลังใจให้นะ!

21 ก.พ. 2022

อย่าให้รักเดียวใจเดียว เป็นเรื่องมหัศจรรย์ และการนอกใจกันเป็นเรื่องปกติ

มีคนเคยถามว่า ทำไมความรักของยุคนี้ ช่างมีความซับซ้อน ต่างคนต่างมีแฟน แต่ก็ควงแขนกันอยู่นะพอให้ต่างคนต่างไปเลิกกับคนของตัวเอง ก็มีเหตุผลที่ให้กับโลกว่า“เขาไม่ผิดอะไร”นั่นสิคะ แล้วไปทำผิดกับเขาทำไม หรือที่เราซับซ้อนเกินไปเพียงเพราะอยากเอาแต่ใจตัวเองคนนั้นก็อยากมี คนนี้ก็ไม่อยากเสียไป พอคนที่เราคบมีข้อขาดตกบกพร่องอะไร ก็ต้องไปหาเติมให้ได้จากอีกคน...ไม่มีใครดีพอ สำหรับคนไม่รู้จักพอค่ะจะ “เขา” หรือ “เรา”ต่างมีความไม่สมบูรณ์แบบ เรารักกันในข้อดี และบางที ก็ต้องให้อภัยในข้อเสียบางข้อถ้ารักมากพอ ก็ยังเดินหน้าต่อไหว แต่ถ้าเขาไม่ใช่ ก็บอกเลิกให้จบอย่าคบซ้อน อยากได้ความรักดี ๆ ก็ต้องทำดีให้คู่ควรอยากได้คนรักที่ “จริงใจ”แต่ใช้ “ความหลายใจ”เข้าแลก มันแฟร์ต่อเขาหรือ?อย่าทำให้รักเดียวใจเดียวเป็นเรื่องมหัศจรรย์ และการนอกใจกันเป็นเรื่องปกติ ถ้าปกติ ก็ต้องไม่เจ็บไม่เสียใจสิคะ ที่วันนี้เรายังร้องไห้ จากการนอกใจ เพราะยังไงก็เจ็บ ถ้าคิดว่า การนอกใจคือเรื่องธรรมดาการเสียน้ำตา ก็คือเรื่องปกติ เราพร้อมจะร้องไห้ซ้ำ ๆ กับการนอกใจจริง ๆ หรือ ?ใช้ “ความเหงา”ไว้ทำความรู้จักกับ “หัวใจของเรา”ในโลกที่อุปกรณ์การสื่อสารอยู่ข้างตัว จนเรากลัวการไม่สื่อสาร ส่งไลน์หาใคร ถ้าเขาได้“อ่าน” แต่“ไม่ตอบ”ก็ต้องหาวิธีปลอบใจตัวเองกันไป จะน้อยใจเสียใจอะไรนักหนาไม่รู้นะคะ บ่อยครั้งเราเลยมัวแต่ใส่ใจคนอื่นทำความรู้จักกับใคร ๆ จนลืมทำความรู้จักกับ “หัวใจ”ตัวเอง เธอมีความสุขดีอยู่หรือเปล่านะเธอทำแต่สิ่งที่ “ต้องทำ” จนลืมสิ่งที่ “อยากทำ”หรือเปล่า สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้คือสิ่งที่เรา “เป็น”หรือแค่ “อยากเป็น” แล้วปั้นตัวตนขึ้นมาใหม่ นาน ๆ ไปเลยไม่แน่ใจว่า ตกลงนี่คือ “ตัวตน”หรือ“คนที่เราปั้น”อย่ามั่นใจนะคะ ว่าเราอยู่กับตัวเรามาตั้งแต่วินาทีแรกบนโลกจนอายุเท่าวันนี้ ทำไมจะไม่รู้จักตัวเอง อย่าไปมั่นใจตราบใดที่บางวัน เรายัง รำพึงรำพันกับตัวเองอยู่เลยว่า“วันนี้กูเป็นอะไรวะเนี่ย”เพราะขนาดตัวเราเองรู้จักกันนาน อาจไม่ได้แปลว่ารู้จักกันดีเลย... อย่าไปเรียกร้องความเข้าใจจากคนใกล้ ๆ ตราบใดที่เรายังไม่เข้าใจตัวเราและไม่แน่... ในวันที่เรารู้จักตัวเรามากขึ้นเราจะยิ่งชัดเจนในคำว่า “ใจเขาใจเรา”เมื่อเข้าใจตัวเรา จะยิ่งเข้าใจคนอื่น ๆ เขา ... เพราะจะเป็นหัวใจใคร ก็ขนาดใหญ่เท่ากำมือและไม่มีใครหัวใจแกร่งไปมากกว่าใครจริง ๆ“เหงา”ไม่ได้ทำร้ายเราอย่าเอาความเหงาของเราไปทำร้ายใครอย่าเลือกใครคนหนึ่ง เพียงแค่“เหงา”เพราะไม่รู้ว่าตอนเลิกเหงาเราจะยังเลือกเขาอยู่หรือเปล่าและที่สุดแล้ว ใช้เวลาตอน “เหงา”ทำความรู้จักกับหัวใจเรา ไม่แน่วันนี้เราอาจจะเพิ่งรู้ก็ได้ว่ามัวแต่ใส่ใจใครต่อใคร จนละเลยหัวใจตัวเองนี่แหละค่ะ

20 ม.ค. 2022

ตกลงเวลาน้อยหรือไม่ค่อยรัก คิดว่าเขางานยุ่ง หรือจริง ๆ เขาเอาเวลาไปยุ่งกับคนอื่นอยู่หรือเปล่า??

ตกลงเวลาน้อยหรือไม่ค่อยรักคิดว่าเขางานยุ่งหรือจริง ๆ เขาเอาเวลาไปยุ่งกับคนอื่นอยู่หรือเปล่า??ฟังดูใจร้ายใช่ไหมคะ ไหนบอกว่าพี่อ้อยเป็นคนคิดบวกคิดบวกจริง ๆ ค่ะแต่ต้องอยู่บนโลกของความเป็นจริงหลายสิ่งต้องมองกว้างเข้าไว้ เพื่อหาทางหนีทีไล่มองบวกมากไป ก็ตกอกตกใจถ้าในที่สุดไม่ใช่อย่างที่คิดเลยต้องเตรียมชีวิตเผื่อเจอเรื่องพลิกผันบ้างมีเยอะค่ะการคิดบวกคือการคิดลบเพื่อหาทางจบกับปัญหาเอาไว้ก่อนถ้าดีกว่าที่คิดก็ถือว่าชีวิตมีโบนัสแต่ถ้าแย่อย่างที่คิดชีวิตก็น่าจะรอด เพราะเราหาทางออกเอาไว้แล้วศุกร์ที่ผ่านมาน้องคนหนึ่งคบกับแฟนมาเป็นปีแต่ไม่เคยมีโอกาสได้มาเจอกันจริง ๆสิ่งที่เขาบอกคือ“ยุ่ง”ไว้มาเจอกันให้เก็บกระเป๋ามาอยู่ด้วยกันเลยคบกันผ่านจอเห็นกันตอนวิดิโอคอลเท่านั้นถ้าไม่เชื่อใจกัน จะให้แม่มาคอลด้วยเดี๋ยวๆๆๆๆมันคนละเรื่องกัน อะไรก็ตามมองอยู่ไกลๆยังไงก็สวยอยู่ด้วย อาจเป็นอีกแบบเจอผ่านจอเขาแสนจะน่ารักแต่จะอึดอัดแค่ไหน ถ้าได้ใช้ชีวิตด้วยกันจริง ๆยังไม่ทันเรียนรู้กันเท่าไหร่ให้เก็บกระเป๋ามาอยู่บ้านข้ามขั้นตอนไปหน่อยไหมน้องดูปักอกปักใจกับคนที่ใกล้ได้แค่เปิดจอแบบไม่ต้องรอเจอหน้าจริงบางคู่รักกันนานยังเหมือนไม่รู้จักกันดีแต่นี่ไม่เคยแม้แต่เจอกันจะบอกว่าผูกพันจนอยากใช้ชีวิตคู่ดูเพ้อไปหน่อยไม่ว่าจะเจอกันแบบไหนควรเรียนรู้ใจกันในโลกความเป็นจริงคนเรามีเวลากันคนละ24 ชม.ถ้าใส่ใจกับสิ่งไหนเราจะมีเวลาให้สิ่งนั้นเสมอไม่อยากมาหาไม่อยากมาเจอแต่รักเธอมากนะอย่าให้คำว่า “รัก” ออกเสียงง่ายไปพูดได้แบบไม่ต้องรู้สึกให้ถามตัวเองไว้“รักมากแค่ไหนเชียวมาเจอกันแป๊บเดียวยังไม่ยอมมาเลย”สัญญาณอันตรายดังลั่นอย่าแกล้งฟังไม่ได้ยินเพราะบางทีความจริงอยู่ตรงหน้าอยู่ที่เรากล้ายอมรับความจริงหรือยังคะ

GREEN HEART

25 เม.ย. 2024

GREEN BEAUTY ความงามที่ไม่ใช่แค่ความสวย

เมื่อสิ่งที่เรียกว่า “ความงาม” ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจึงเกิดแนวคิดจากองค์กรความงามที่เรียกว่า "GREEN BEAUTY"GREEN BEAUTY คืออะไร ?การทำให้ทุกขั้นตอนของการผลิตตั้งแต่ต้นจนจบของผลิตภัณฑ์ความงามส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ซึ่งปัจจุบันมีหลากหลายแบรนด์ที่ใช้แนวคิด GREEN BEAUTY เพื่อให้ความงามเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมต้องขอเล่าก่อนว่าอุตสาหกรรมความงามก็เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเนื่องจากเครื่องสำอางส่วนใหญ่มีการผสมของสารเคมีที่มีขั้นตอนการผลิตที่เป็นอันตรายต่อโลกของเรา ซึ่งส่วนประกอบการผลิตเครื่องสำอางโดยส่วนใหญ่มักจะมีส่วนผสมของปิโตรเคมี อย่างที่ทราบกันว่าปิโตรเคมีเป็นทรัพยากรต้นเหตุที่กระตุ้นให้เกิดภาวะโลกร้อน เนื่องจากการผลิตปิโตรเคมีจะมีขั้นตอนการเผาไหม้ที่สร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และคาร์บอนมอนอกไซด์อีกหนึ่งปัญหาของอุตสาหกรรมความงามที่ส่งผลกระทบติ่สิ่งแวดล้อม คือการใช้พลาสติกในการทำบรรจุภัณฑ์ รวมถึงการใช้พลาสติกเป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางอย่าง ไมโครบีดส์ ซึ่งเป็นพลาสติกขนาดเล็กที่ถูกใช้ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด เช่น ยาสีฟัน โฟมล้างหน้า เป็นต้น ถึงแม้ว่าจะละลายหายไปได้เมื่อเราล้างออก แต่พลาสติกเหล่านั้นกลับหลงเหลืออยู่ตามปลายทางของแหล่งน้ำในห้องน้ำทางองค์กรความงามจึงมีแนวคิด GREEN BEAUTY เพื่อช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและธรรมชาติอ้างอิงรูปภาพ : https://i.pinimg.comแล้วผู้บริโภคอย่างเราจะเลือกซื้อและใช้ผลิตภัณฑ์ความงามยังไงให้ส่งผลดีกับธรรมชาติ1.เลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็น Green Product และส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ต้องไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ สิ่งมีชีวิตและธรรมชาติ2.เลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้3.เลือกใช้เครื่องสำอางที่เป็น Organic Makeup ใช้วัตถุดิบ ส่วนผสมจากธรรมชาติตั้งแต่กระบวนการปลูก เก็บเกี่ยวรวมถึงการสกัดออกมา4.เลือกเครื่องสำอางที่สามารถรีฟีลได้ กระตุ้นให้เกิดการใช้บรรจุภัณฑ์ซ้ำหรือนำบรรจุภัณฑ์มารีไซเคิล เพื่อลดการเกิดขยะ5.เลือกเครื่องสำอางแบบZero-Waste Makeup ที่ผลิตจากวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ย่อยสลายได้ 100% ไม่ว่าจะเป็นตัวผลิตภัณฑ์ หรือบรรจุภัณฑ์ ช่วยการลด Carbon Footprint ปริมาณก๊าซเรือนกระจกอ้างอิงรูปภาพ : www.freepik.comตอนนี้ทุกคนก็ได้รู้จักแนวคิดเกี่ยวกับความงามที่ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมรวมถึงการเลือกซื้อเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ความงาม นอกจากเราจะได้ช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติแล้วก็ยังช่วยให้ร่างกายของเราปราศจากสารเคมีและส่งผลดีต่อร่างกายเราอีกด้วยที่มา : https://www.seub.or.th/bloging/knowledge/green-beauty https://www.thairath.co.th/futureperfect/articles/2719293

24 เม.ย. 2024

อยากให้ความสำคัญกับใคร ให้เก็บโทรศัพท์

ครั้งสุดท้ายที่คุณได้มีบทสนทนากับใครอย่างลึกซึ้ง ได้สบสายตา เห็นท่าที ต่างฝ่ายต่างฟังกันอย่างตั้งใจคือเมื่อไหร่กัน?เคยมีงานวิจัยบอกว่า คนเรามองหน้าจอมือถือ มากถึง 2,400 ครั้ง/วัน มากกว่าการมองหน้ากันเสียอีก เทคโนโลยีที่สร้างมาเพื่อการสื่อสารให้คนไกลได้ใกล้ขึ้น กลับเป็นตัวการเดียวกัน ที่ทำให้คนใกล้ ที่อยู่ตรงหน้า รู้สึกห่างไกลกันเหลือเกิน.......................................................................เมื่อเดือนที่แล้ว ที่เมือง เวโรนา ประเทศอิตาลี มีร้านอาหารใหม่ ชื่อ “Al Condominio” ที่เปิดตัวมาเพื่อให้คุณดื่มด่ำ ทุกนาทีในร้านอาหาร ผ่านทุกโสตประสาทอย่างเต็มที่ แบบที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือเข้ามากวนใจร้านอาหารจะมอบไวน์ 1 ขวดให้ฟรี สำหรับลูกค้าที่ไม่ใช้โทรศพัท์ระหว่างมื้ออาหาร เจ้าของร้านเล่าถึงความตั้งใจนี้ว่า ต้องการให้ลูกค้าได้สื่อสารกัน โดยให้ความสำคัญกับคนที่อยู่ตรงหน้า เพราะผู้คนในปัจจุบันหลายครั้ง แทบไม่คุยกันเลยที่โต๊ะอาหาร ต่างคนต่างเล่นโทรศัพท์มือถือทางร้านเชื่อว่า ประสบการณ์ของมื้ออาหารนั้นจะ อิ่มเอมขึ้น มีรสชาติมากขึ้น ด้วยสายสัมพันธ์ระหว่างกัน แขกที่สนใจ สามารถเลือกที่จะลองประสบการณ์นี้ โดยเอาโทรศัพท์เก็บใส่ตู้พิเศษที่ร้านเตรียมไว้ให้ และดื่มด่ำกับปัจจุบันที่อยู่ตรงหน้า สัมผัสอาหารทุกคำอย่างเต็มรสชาติ แล้วทางร้านก็จะมอบไวน์ให้ลูกค้า 1 ขวดทันทีAngelo Lella หนึ่งในผู้ก่อตั้งร้านอาหาร บอกว่า อยากให้ผู้คนกลับมาเห็นความสุขจากการกินอาหาร ร่วมกันกับผู้อื่น ได้มองตา และพูดคุยกันจากใจจริงๆ และที่ร้านอาหารนี้ก็มีแต่เมนูอาหาร ที่ทำจากกระดาษ ไม่มี QR Code ให้แสกนด้วยคอนเซปท์ใหม่ แบบไร้โทรศัพท์มือถือนี้ ทำให้มีลูกค้าสนใจจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่เป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่คนอายุมากกว่า 45 ดูลังเลที่จะห่างจากโทรศัพท์เพียง 2-3 ชั่วโมงและนอกจากร้านอาหารแล้วยังมี ร้านรองเท้าในอิตาลี ในย่าน Trevisio มีป้ายที่หน้าเคาน์เตอร์เขียนว่า “ ให้บริการเฉพาะลูกค้าที่ไม่ใช้โทรศัพท์มือถือ” เพราะรู้สึกว่าคุยกับลูกค้าที่ใช้โทรศัพท์ไป และสั่งรองเท้าไป ไม่รู้เรื่องอีกที่นึงในอิตาลี ที่เมือง Balestrate , สนามเด็กเล่นบางที่ มีป้ายเขียนไว้ชัดเจนว่า “ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์อิเลคโทรนิคส์ต่างๆในพื้นที่ และให้เวลากับลูกๆของคุณเถอะ” เพื่อให้เด็ก ผู้ปกครองทุกคน มีความสุขกับการเล่นด้วยกัน และเพิ่มความปลอดภัยในการใช้พื้นที่สำหรับทุกคน.......................................................................ถ้าได้กลับไปใช้เวลาร่วมกันกับครอบครัว กับคนที่รักทั้งที ลองชวนกันเก็บโทรศัพท์มือถือออกจากโต๊ะอาหารดูบ้าง ไม่แน่บางที อาหารฝีมือคนในครอบครัวอาจอร่อยขึ้นไปอีก เราอาจได้เปิดใจพูดคุยกันมากขึ้น ฟังกันเต็มสองหู อาจได้เห็นสิ่งที่เราละเลยมานาน และคนเป็นๆตรงหน้ามีตัวตนแจ่มชัดมากขึ้นแม้จะเป็นเพียงเวลาสั้นๆ แต่ถ้ามันเป็นเวลาที่มีคุณภาพ แค่นั้นก็พอแล้วข้อมูล : Al Condominio

22 เม.ย. 2024

ภาษาสเปน ภาษาแห่งความสุขที่สุดในโลก

งานวิจัยล่าสุด ของ National Academy of Sciences เผยว่าภาษาของบางประเทศ เป็นภาษาที่มีการมองโลกในแง่บวกมากกว่าภาษาอื่น ๆ เช่นการมีคำที่พูดถึงช่วงเวลาดี ๆ มากกว่า ช่วงเวลาแย่ ๆการศึกษาเริ่มโดยดึงคำที่ใช้บ่อยที่สุด จากฐานข้อมูล 100,000 คำจากแต่ละภาษา จากทั้งหมด 10 ภาษา (อังกฤษ สเปน เยอรมัน บราซิล โปรตุเกส เกาหลี จีน รัสเซีย อินโดนีเซีย อาหรับ) โดยดึงมาจากการใช้งานจริงบนโลกโซเชียล และสื่อต่างๆ เช่นผ่าน ทวิตเตอร์, หนังสือ ,เนื้อเพลง, ข่าว, ชื่อหนัง และ อื่นๆเสร็จแล้วให้เจ้าของภาษา จำนวน 50 คน ของแต่ละภาษา มาให้คะแนน โดยคัดคำที่ใช้บ่อยที่สุด 10,000 คำ โดยวัดอารมณ์ของแต่ละคำบนสเกล จาก 1-9 จากอารมณ์ลบมากที่สุด ไปจนถึงบวกมากที่สุดผลทดสอบพบว่า ภาษาส่วนใหญ่ค่อนข้างไปทางแง่บวก แต่ภาษาที่มองโลกสดใสที่สุด คือ ภาษาสเปน รองลงมา เรียงตามลำดับดังนี้คือ คือ อันดับ 2 โปรตุเกส, อันดับ 3 อังกฤษ, อันดับ 4 อินโดนีเซีย, อันดับ 5 ฝรั่งเศส, อันดับ 6 เยอรมัน, อันดับ 7 อาหรับ, อันดับ 8 รัสเซีย, อันดับ 9 เกาหลี, อันดับ 10 จีน ในขณะที่ภาษาที่มีความสมดุลย์ ไม่ลบ ไม่บวกที่สุด คือ ภาษาจีนการศึกษานี้ทำขึ้นในการศึกษาชื่อว่า “Hedonometer” หรือ มาตรวัดความสุข ที่มองหาสัญญาณแห่งความสุข จากที่ต่างๆ เช่นความสุขที่แสดงออกจากภาษาก็ขึ้นอยู่กับ สถานการณ์ เวลา และ สถานที่ด้วย เช่นในสหรัฐ รัฐมีที่มีสัญญาณความสุขมากที่สุด คือ เวอร์มอนท์ และ หลุยเซียน่า มีสัญญาณต่ำที่สุด ซึ่งในขณะนี้มาตรวัดความสุข สามารถวัดได้เฉพาะภาษาอังกฤษ แต่ทีมงาน มีแผนที่จะขยายไปยังภาษาอื่นๆ ต่อไปในอนาคต

17 เม.ย. 2024

ใช้ชีวิต ลด Food Waste มุมมองความยั่งยืนฉบับ “PEAR is hungry”

นอกเหนือจาก ขยะพลาสติก ขยะอิเล็กทรอนิกส์ ที่กำจัดได้ยาก และยังเป็นปัญหาเรื้อรังแล้ว อีกหนึ่งอย่างที่กำจัดได้ยาก และกลายเป็นปัญหาไม่น้อยเช่นเดียวกัน นั้นคือ ขยะอาหารขยะอาหารคืออะไร ?ขยะอาหาร หรือเศษอาหารเหลือทิ้ง เป็นอีกอย่างที่เราทุกคนนั้นมักสร้างมันขึ้นมาใน ทุกวันหรือหากเราทานอาหารหมดก็ยังมีขยะอาหารที่เกิดขึ้นจากการผลิตอยู่ดี ขยะอาหารแบ่งย่อย เป็น 2 ประเภท คือFood Loss หรือ ขยะอาหารที่เกิดจาก การสูญเสียในขั้นตอนการผลิต การจัดเก็บ การแปรรูป การขนส่ง เช่น การคัดทิ้งผลผลิตที่ไม่ได้คุณภาพ การตัดแต่งวัตถุดิบเพื่อการแปรรูปFood Waste คือ เศษอาหารเหลือจากมื้ออาหาร ทั้งการรับประทานไม่หมด เช่น เศษผักผลไม้ที่ใช้ตกแต่ง เปลือกกุ้ง หอย ปู เปลือกผลไม้ เปลือกไข่ อาหารที่หมดอายุอาหารขยะก็ย่อยสลายได้หนิ แล้วจะเป็นปัญหาได้ยังไง ??แม้ว่าขยะอาหารจะสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติโดยใช้เวลาไม่นานนัก แตกต่างกับ ขยะพลาสติก ที่ต้องใช้ระยะเวลากว่า 500 ปี แต่ด้วยจำนวนของขยะอาหารที่เกิดขึ้นจาก ภาคอุตสาหกรรม และภาคผู้บริโภค แต่ละวันมีปริมาณที่มากมายมหาศาล ทำให้ต้องใช้วิธีกำจัดโดยการ ฝังกลบดิน และเมื่อขยะอาหารเหล่านั้นรวมตัวกันในปริมาณมากจะปล่อย ก๊าซมีเทน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจกถึง 8% ซึ่งเทียบเท่ากับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคคมนาคม และมากกว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากภาคการบินทั่วโลกถึง 4 เท่า เป็นอีกปัญหาที่เราทุกคนมักมองข้าม และควรร่วมมือกันแก้ไข เพื่อรักษ์สิ่งแวดล้อมของเราให้ยั่งยืนสืบไปจะดีกว่าไหม หากการดำเนินชีวิตของเราลด Food Waste ให้ได้มากที่สุด !!วันนี้กรีนเวฟ ได้มาพูดคุยกับคุณ แพร-พิมพ์ลดาไชยปรีชาวิทย์ เจ้าของช่อง “PEAR is hungry” Content Creator สายยั่งยืน ที่จะมาให้ความรู้ และแชร์ประสบการณ์ การใช้ชีวิตอย่าง ลด Food Waste“PEAR is hungry”“ช่อง PEAR is hungry ด้วยความที่แพรเป็นคนชอบกิน แต่เราไม่ใช่ Food Review เราชอบเรื่องราวที่มาของอาหาร ก็เลยเริ่มต้นจากตรงนั้น ทำไปได้สักพักก็เริ่มหยิบสิ่งที่เรา สนใจต่าง ๆ ในชีวิตมารวมอยู่ในช่อง นั่นก็คือเรื่องของความยั่งยืน”“จุดเริ่มต้นที่ทำให้สนใจเรื่องความยั่งยื่นอย่างจริงจัง”“จุดเริ่มต้นเกิดจาก แพรได้ร่วมทริป “Chiang Dao Classroom” ที่มีพี่มล และแพรรี่พายเป็นคนจัด ซึ่งเราจะต้องเข้าป่า 5 วันโดยที่ไม่มีไฟฟ้าและประปา ประสบการณ์ ที่ได้มาเลยคือ เราไปอยู่ต้นน้ำ ดังนั้นวิถีชีวิตคือเข้าไปอยู่กับธรรมชาติ เห็นเลยว่าทุก ๆ อย่างที่เรากระทำ มันมีผลกับธรรมชาติหมดเลย แค่จะสระผม ยาสระผมที่เราใช้ มันจะหลุดติดไปในแม่น้ำ ไหลลงไปปลายน้ำ ระหว่างทางจะมีสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นจะได้รับผลกระทบจากการกระทำของเราไป มันเลยทำให้รู้สึกเลยว่าทุกอย่าง Connect กันเป็นวงจรหมดเลย และท้ายสุด มันก็กลับมากระทบตัวเราด้วย พอเห็นเลยตั้งใจเลยว่า จะใช้ชีวิตให้ลดผลกระทบต่อธรรมชาติ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”“มุมมองปัญหา Food Waste ในประเทศไทย”“ปัญหา Food Waste ในประเทศไทยเป็น ​Invisible Problem ปัญหาที่ ยังมองไม่เห็น เรามักมองว่าขยะอาหารสามารถย่อยสลายตัวเองได้ มันไม่น่ามีปัญหาที่หนักเท่า ขยะพลาสติก แต่ในความเป็นจริง ปัญหาขยะอาหารส่งผลประทบต่อสิ่งแวดล้อม หนักไม่ต่างกัน เพราะเวลาที่ขยะอาหารย่อยสลายตัวเอง จะสามารถสร้างก๊าซมีเทน ที่เป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจก ซึ่งมันส่งผลประทบต่อโลกร้อนโดยตรงยังมี ปัญหาเรื่องเชื้อโรค ปัญหาเรื่องการติดไฟ และอีกเยอะแยะมากมาย เมื่อยังไม่เห็นว่าขยะอาหารเป็นปัญหา ตัวเราจึงสร้างมันโดยไม่รู้ตัว อันที่จริง มีการเก็บสถิติในปี 2567 ว่าคนไทยผลิตขยะอาหาร 146ก.ก. ต่อคน ต่อปี เมื่อเทียบแล้วเหมือน แพร ผลิตตัวแพร ที่เป็นขยะอาหาร 4 คน ต่อปี เยอะมาก ! ! ซึ่งทั้งหมด แพรคิดว่าเกิดจากคน ยังไม่รู้ถึงปัญหาเรื่อง Food Waste ว่ารุนแรงมากแค่ไหน เลยทำให้ปัญหาบานปลายทั้งที่จริง ๆ เราลดความรุนแรงมันได้ด้วยตัวเราเอง““ใช้ชีวิตอย่างไรให้ลด Food Waste”“เราว่ามันทำได้ด้วยการลดตั้งแต่ต้นทาง นั่นคือ กินหมดจาน เป็นแคมเปญ ที่เราทำเมื่อปีที่แล้ว ชวนคนมาลด Food Waste ด้วยการกิน เพียงแค่เรา สั่งพอกินและกินหมดจาน เท่านี้เราก็ลดขยะอาหารได้แล้ว อย่างแพรเองเป็นคนที่กินข้าวน้อย เน้นกับข้าว เน้นผัก เวลาสั่งอาหารก็จะบอกกับร้านเลยว่า ‘ป้าคะ หนูขอข้าวประมาณ 1 ใน 3 จากปกติค่ะ’ เพราะเรารู้ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่ข้าวถูกตักมาไว้ที่เราแล้วเนี่ย ข้าวนั้นจะไปไหนต่อไม่ได้ และตัวเราเองก็กินไม่หมด ทางแก้คือลดปริมาณก่อนเอาเท่าที่เรากินหมดและถ้ายังกินไม่หมดอีก ก็จะพกกล่องใส่กลับบ้าน และเอามาทำเป็น เมนูแปลงร่าง (Leftovers) คือการเอาเมนูเก่ามาทำใหม่ให้อร่อยขึ้น เช่น ข้าวที่เรากินไม่หมดเอากลับมา ทำเมนูข้าวผัด ซึ่งข้าวค้างคืนทำเป็นข้าวผัดอร่อยมาก หรือเพิ่มไอเดียเอามาทำเป็นเมนู ข้าวทอด ข้าวพองก็ได้ หนึ่งในเมนูแปลงร่างที่ทำใน Pear is hungry ที่ชอบมากคือการเอาข้าวเหนียว ที่เหลือจากร้านส้มตำ เอามาทำเป็น โมจิไส้ถั่วแดง แบบญี่ปุ่นเลยนั่นคือสิ่งที่เราอยากสื่อสารผ่านคอนเทนต์ในช่องของเรา เพราะเราอยากให้คนดูได้ไอเดีย ว่าเราใช้ชีวิตแบบลดขยะอาหารได้นะ และแค่คนดูดูเราแล้วเปิดตู้เย็นทำเมนูแปลงร่าง (ลด Food Waste) แค่นี้แพรก็ดีใจมากแล้ว เพราะเราได้เพิ่มนักกำจัด Food Waste มาได้อีก 1 คนแล้วนะ“How To ลด Food Waste แบบฉบับแพรเหรอ? ก็ กินหมดจาน และทำเมนูแปลงร่าง ถ้าไม่รู้ว่าจะทำเมนูอะไรดี เข้ามาที่ช่อง PEAR is hungry ได้เลย 555”อย่างเปลือกไข่ เปลือกผลไม้ที่เราไม่สามารถกินให้หมดได้ละ ?“อย่างที่บ้านแพรทำ คือเอาเศษอาหารเหลือ มาหมักเป็นปุ๋ยชีวภาพ แต่แพรเข้าใจว่า ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถทำได้ ดังนั้นลองดูว่าในสภาพแวดล้อมของเราสามารถทำอะไรได้บ้าง ถ้ามีพื้นที่นำมาฝังดินได้ไหม ถ้าฝังดินไม่ได้ ซื้อเครื่องมือในการทำปุ๋ยได้ไหม ถ้ายังไม่ได้ งั้นเราลองรวบขยะอาหารที่สร้างมาให้เป็นถุงเดียวกัน เพื่อที่เวลาเราทิ้งขยะ เราจะสามารถ แยกขยะได้เลย เพื่อพี่ ๆ ที่เค้าจัดการเรื่องขยะจะสามารถนำขยะที่เราแยกไปจัดการได้ง่ายขึ้น วิธีง่าย ๆ แค่นี้เลย”“ถ้าเราที่เป็นต้นทางแยกขยะ พี่ๆ ที่เค้านำขยะไปจัดการต่อจะสามารถจัดการขยะได้ดีขึ้น จริง ๆ ค่ะ”การลด Food Waste จะทำให้การใช้ชีวิตลำบากขึ้นหรือเปล่า ?“แม้ว่าแพรจะนำเสนอเรื่อง Food Waste ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแพรจะสามารถ ทำมันได้อย่าง 100% ในทุกวัน คือแพรมีเป้าหมายไว้ว่า จะใช้ชีวิตโดยกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด แต่มันก็ต้องไม่กระทบตัวเราเองด้วย ให้มันเฟรนลี่กับตัวเราเอง เพราะว่าปัญหานี้เป็นเรื่องระยะยาว มันไม่ใช่แค่ว่าเราจะทำแบบนี้สัก 3 เดือน หรือ 1 ปี แต่เราจะค่อยๆ ปรับตัวเองให้ทั้งชีวิตของเรา สามาถลดผลกระทบต่อระบบนิเวศได้จริง ๆ เมื่อไหร่ก็ตามถ้าเราฝืน เราจะทำสิ่งนั้นได้ไม่ยาว และปลายทางที่ตั้งใจไว้ก็จะไม่เกิด”“แพรไม่ได้มองปัญหานี้ว่า เป็นการทำความดีหรือไม่ดี แต่แพรว่ามันคือ Norm ปกติ ที่เราทุกคนควรมองเห็นปัญหาและช่วยกันแก้ไข”อยากฝากอะไรให้ผู้คนสนใจปัญหาสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น“หลายคนน่าจะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้แล้ว มันเห็นชัดมาก เรื่องนี้ไม่ใช่ เรื่องของใครคนใดคนนึง ดังนั้นถ้าเรามีความพร้อม สามารถที่จะเลือกใช้ชีวิตได้ ก็อยากจะให้ มาลองใช้ชีวิตที่ไม่กระทบสิ่งแวดล้อมกันไม่จำเป็นต้องเหมือนแพรก็ได้นะ เอาแบบที่ Friendly กับเราและ ​Friendly กับโลกด้วย”ปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่ใช่แค่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องที่เราทุกคนควรร่วมมือกัน แก้ไขอย่างจริงจัง หากทุกคนสนใจ ทางคุณแพรแอบบอกมาว่าเร็ว ๆ นี้จะมีแคมเปญ #กินหมดจาน ซีซั่น 2 จะเป็นรูปแบบไหนอย่างไร อย่าลืมติดตาม และร่วมสนุกกันด้วย อย่าลืมติดตามคุณแพร PEAR is hungry ในทุกช่องทางด้วยนะครับYoutube : PEAR is hungryTokTik : @pearishungryInstagram : pearishungryFackbook : PEAR is hungry..........................................................................Author : MIK_Mikazuki

11 เม.ย. 2024

Songkarn Day สาดน้ำใจ ใส่ใจโลก

ถ้าพูดถึงในช่วงเทศกาลสงกรานต์ทุกคนคิดถึงอะไรกันเอ่ย ?เชื่อว่าหลายคนอาจจะกำลังเตรียมตัววางแผนในการกลับบ้าน วางแผนเที่ยวในช่วงวันหยุดยาวแต่ขึ้นชื่อว่าสงกรานต์เราจะไม่เล่นน้ำได้เหรอ ยิ่งช่วงซัมเมอร์หน้าร้อนแบบนี้เราก็ต้องออกไปเล่นน้ำเพื่อคลายร้อนอยู่แล้วสิ แต่หลายคนอาจจะลืมไปว่าการสาดน้ำในวันสงกรานต์เราต้องสูญเสียน้ำไปเยอะขนาดไหนแล้วมันจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่เนื่องจากช่วงสงกรานต์ ผู้คนจากทั่วโลกเดินทางมาไทยช่วงหน้าร้อนนี้ ก็เพื่อมาสนุกกับเทศกาลสงกรานต์ แต่รู้หรือไม่ จากสถิติการใช้น้ำขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่า ใน 1 วัน คนเราใช้น้ำประมาณ 200 ลิตรต่อวันแต่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์นั้นเราใช้น้ำมากกว่าปกติถึง 3 เท่าเลยทีเดียว ซึ่งปัจจุบันโลกของเรากำลังเผชิญกับปัญหาโลกร้อนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ภัยแล้ง” ทำให้หลายพื้นที่เกิดปัญหาในการขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้แต่อย่างไรก็ตามการเล่นน้ำถือเป็นเอกลักษณ์ในวันสงกรานต์ เราเลยอยากแนะนำวิธีการเล่นน้ำในช่วงเทศกาลสงกรานต์ นอกจากยังได้รักษาประเพณีไทยและก็ยังได้รักโลกไปพร้อม ๆ กันด้วย1.ใช้ขันใบเล็ก ๆในการสาดน้ำแทนการใช้กระบอกฉีดน้ำอันใหญ่2.เปลี่ยนจากการเล่นหรือสาดน้ำบนถนนมาเล่นน้ำตามพื้นที่ธรรมชาติ อาจจะเป็นพื้นที่ที่มีต้นไม้ สนามหญ้า ต้นไม้ก็จะได้ประโยชน์จากน้ำที่เราเล่นกัน3. เล่นน้ำในสระน้ำ หากใครไม่อยากเดินทางก็อาจจะซื้อบ่อน้ำเป่าลมมาเล่นกันในบ้าน แช่น้ำในบ่อลม เพื่อคลายร้อนก็ได้เหมือนกัน4.เล่นน้ำตามแหล่งธรรมชาติ เช่น น้ำตก ลำธาร อุทยานต่างๆ เป็นต้น การเล่นน้ำตามแหล่งธรรมชาติไม่ว่าเราจะใช้น้ำเท่าไหร่มันก็จะไหลเวียนกลับสู่ธรรมชาติ แต่ก็อย่าลืมรักษาความสะอาดกันด้วยนะ..........................................................................................เป็นยังไงกันบ้างวิธีการเล่นน้ำสงกรานต์แบบไม่ทำลายธรรมชาติ ประเพณีไทยเป็นสิ่งสวยงามอยากให้ทุกคนอนุรักษ์ไว้แต่ เราก็ต้องไม่ลืมเรื่องคุณค่าของทรัพยากรเหมือนกัน หากทุกคนตระหนักถึงคุณค่า เราจะได้รู้จักการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าที่สุดที่มา : https://www.seub.or.th/bloging/knowledge/2023-106/

09 เม.ย. 2024

อาหาร “รสมือม่า”

“จะดีแค่ไหน ถ้าเราได้กินอาหารฝีมืออาม่าทุกๆวัน”ยังจำครั้งสุดท้ายที่เราได้กินอาหารจากฝีมือคนในบ้านเราได้หรือเปล่า กลิ่นอาหารที่หอมฉุยออกจากในครัว เสียงเครื่องครัวที่กระทบกัน และควันขโมงเหล่านั้นได้มั้ย หรือ จำตอนที่ผู้ใหญ่ตะโกนเรียกเราเข้าไปช่วยเป็นลูกมือในครัว แล้วเราก็ทำอะไรเก้ๆกังๆ ไม่ถูกใจพวกเค้าซะทุกทีและสุดท้ายพวกเขาก็เดินออกจากในครัว พร้อมจานอาหารใบเขื่อง ยกมาวางตรงหน้าเด็กน้อย มันช่างดูใหญ่โต อลังการ นั่นอาหารที่เราได้มีส่วนช่วยนี่ ฉันคิดอาหารที่ปรุงสำเร็จ ไอร้อนลอย ขึ้นมา ฉันมองมันด้วยสายตาเปล่งประกาย มันน่ามหัศจรรย์เนอะ!...............................................................................................เวลาที่เราได้กินอาหารจากคนที่เรารัก มันไม่ใช่แค่ความอร่อย แต่มันมีความพิเศษ มันเป็นรสชาติที่คุ้นเคย อบอุ่น อิ่มใจ ปลอดภัย และเต็มไปด้วยความทรงจำ บรรยากาศแบบนี้จะหวนคืนกลับมา เมื่อร้านอาหาร Enoteca Maria ที่ตั้งอยู่บนเกาะ Staten Island นิวยอร์ค ร้านอาหารอิตาเลียนที่มีความพิเศษ โดยมีไฮไลท์อยู่ที่ ‘นอนน่า“ หรือ ”คุณยาย หรือ อาม่า” (ในภาษาอิตาเลียน) ที่จะผลัดเปลี่ยน หมุนเวียนมาทำอาหารให้แขกได้ลิ้มรสกันหลากหลายโดยอาม่าเหล่านี้มาจากทุกชนชาติที่อาศัยอยู่ในนิวยอร์ค มีตั้งแต่ อาเซอร์ไบจัน อุซเบกีสถาน เปรู ญี่ปุ่น อียิปต์ ฮ่องกง ศรีลังกา อาร์เจนตินา ฯลฯคุณโจ สการาเวลล่า เจ้าของร้านให้สัมภาษณ์ว่า แรงบันดาลใจในการสร้างครัวอาหารฝีมือม่า มาจากการที่เจ้าของร้านสูญเสีย คุณแม่ และ คุณยายเชื้อสายอิตาเลียนไป จึงได้เปิดร้านอาหารในปี 2007 และตั้งชื่อร้านว่า ”Maria” ตามคุณแม่ เพื่อเยี่ยวจิตใจตัวเองหลังจากเปิดร้านไปได้ซักพัก ด้วยความที่ไม่มีประสบการณ์การเปิดธุรกิจอาหารมาก่อน การบริหารงานค่อนข้างเป็นมวยวัด แบบหลับหูหลับตาชกเลยทีเดียว แต่ธุรกิจก็เริ่มมีทิศทางมากขึ้นเมื่อมีลูกค้าคอเดียวกัน ที่คิดถึงรสมือแม่ รสมือม่า แบบดั้งเดิม คนก็เริ่มแห่มาที่ร้านอาหารที่มีเพียง 30 โต๊ะ เพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันเปิดแค่ 3 วันต่อสัปดาห์ คือ ศุกร์บ่าย 3 เสาร์/อาทิตย์เปิดบ่ายโมง และปิดรับลูกค้าก่อน ทุ่มครึ่ง เพราะอาม่าจะได้กลับบ้านไม่ดึกตอนเริ่มต้น โจรวบรวมแม่ๆ เข้ามาทำอาหาร ก็เกณฑ์แม่ๆ ม่าๆ ชาวอิตาเลียนมาทำครัวกัน แล้วก็พบว่า ถ้าเอาแม่ๆจากประเทศเดียวกัน ก็จะตีกัน เพราะแม่ๆแต่ละคนมีสูตรส่วนตัว ทำให้มีการประชันกัน แต่ถ้าเอาแม่ๆ จากหลายประเทศมารวมกัน จะไม่มีปัญหานี้ และก็เป็นประโยชน์สูงสุดกับลูกค้าโดยส่วนใหญ่ ม่าที่เข้ามาทำอาหาร มักอยู่ตัวคนเดียว สามีเสียไปแล้ว ลูกโตแล้ว ย้ายไปที่อื่น เลยทำให้อาม่ามีเวลาว่าง โดยม่าที่มาทำอาหาร คือคนที่อาศัยอยู่ในนิวยอร์คซะส่วนใหญ่ บางคนมาทุก 2-3 สัปดาห์ หรือ แล้วแต่เวลาว่าง มีม่าจากไต้หวันที่บินมาทำอาหารให้ปีละครั้ง ซึ่งตอนนี้มีคนขอเข้ามาทำอาหารที่ร้านเยอะมาก และทางร้านหวังว่าจะนำม่า จากประเทศต่างๆมาปรุงอาหารให้แขกได้ในอนาคตทำงานกับม่า ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะม่าแต่ละคนมีสูตรลับส่วนตัว ที่ไม่เหมือนกัน บางคนไม่ชอบเครื่องแกงสำเร็จรูป ต้องตำเอง ทำใหม่ๆ ตั้งแต่ต้น บางคนขนวัตถุดิบเข้ามาเอง เพราะทางร้านเตรียมให้ไม่ถูกใจม่า บางคนให้ขับรถออกไปไกลเพื่อไปตามหาวัตถุดิบที่เฉพาะเจาะจงมากๆ ซึ่งร้านก็ทำให้และเพื่อเป็นการช่วยม่า เตรียมอาหารสำหรับแขกในแต่ละคืน ทางร้านก็เปิดรับอาสาสมัครที่จะมาเรียนทำอาหารฟรีกับน่า ในแต่ละวันด้วย สนใจก็สมัครได้ตรงนี้เลย https://www.enotecamaria.com/wp/nonnas-in-training-registration-faq/"ทำงานกับม่า เป็นการทำงานที่อบอุ่นหัวใจสำหรับผม เราได้แชร์อาหาร เรื่องราวต่างๆ ม่าก็น่ารักมาก กอดผม กอดทีมงาน กอดคนที่มากินอาหารด้วยนะ"จริงๆ แล้วผมไม่ได้สนใจทำร้านอาหารสักเท่าไหร่ ผมสนใจ การถ่ายทอดความรู้ จากรุ่นสู่รุ่น จากวัฒนธรรมหนึ่งไปอีกวัฒนธรรมนึง มากกว่า ผมไม่ได้มองว่าสิ่งที่ผมทำเป็นธุรกิจร้านอาหาร ผมมองมันเป็นโครงการๆนึงมากกว่า ที่มีผลลัพธ์ออกมาเป็นอาหาร แล้วคนก็ให้เงินเราเพราะอาหาร เราก็เอาเงินนั้นมาทำโครงการต่อคุณโจฝากร้านไว้ด้วยว่า ใครสนใจสนับสนุนโครงการ สามารถเข้าไปสั่งของเป็นกำลังใจให้กับม่านานานชาติได้ที่นี่: https://www.enotecamaria.com/wp/nonnas-of-the-world-products/และที่สำคัญถ้าม่า ย่า ยาย ของคุณมีอาหารสูตรลับที่คุณอยากฝากไว้ให้กับโลก สามารถแชร์สูตรลับอาหาร ที่โจได้รวบรวมไว้จากหลากหลายประเทศไว้ได้ที่นี่ด้วย http://nonnasoftheworld.com/Sources :- Enotecamaria.com- Travel Leisure- People

GREEN CHARITY

29 ก.ย. 2023

GREEN CHARITY : SHARE FOR CHILD

26 มิ.ย. 2023

GREEN CHARITY : SHARE FOR ART

30 พ.ย. 2022

GREEN CHARITY : WARM IT FORWARD

31 พ.ค. 2022

GREEN CHARITY : SHARE FOR SHOES

15 มี.ค. 2022

GREEN CHARITY : รับบริจาคถุงอาหาร น้องหมา-น้องแมว ทำบล็อกปูถนน

รับบริจาคถุงอาหารน้องหมา-น้องแมว ทำบล็อกปูถนนทาสแมว-ทาสหมาฟังทางนี้ค่ะ ... ถุงอาหารนุ้งหมา นุ้งแมวของเรา มีประโยชน์มากกว่าที่จะทิ้งไปเฉยๆแล้วนะคะเพจ GREEN ROAD รับบริจาคถุงอาหารหมาเเมวขนาดเล็ก ที่เป็นถุงวิบวับหรือถุงอะลูมิเนียมฟอยล์ เเปลงเป็นบล๊อกปูถนนแมวสีดำ ที่ผลิตจากถุงอาหารแมว 100 % โดยไม่มีขยะพลาสติกประเภทอื่นผสม บล๊อก 1 ตัว จะช่วยลดขยะที่จะเข้าหลุมฝังกลบได้ 4.4 กิโล ️คิดเป็นถุงอาหารหมาแมวซองเล็ก1,500 ใบ ต่อบล็อก 1 ตัว หรือถุงอาหาร 15,000 ใบ ต่อพื้นที่ 1 ตร.ม.อะไรคือถุงวิบวับ“ถุงวิบวับ” คือ ถุงอลูมิเนียมฟอยล์ที่ใช้บรรจุสินค้าหลายประเภททั้งกาแฟ, อาหาร, เครื่องดื่ม, เครื่องสำอาง, ยา และแผ่นอลูมิเนียมฟอยล์ ประกบเข้าด้วยกันโดยใช้ความร้อน ใช้งานบรรจุสินค้าเพื่อป้องการความชื้น ไขมัน แสงแดด อากาศ หรือสารเคมี ทำให้สินค้าไม่เกิดความเสียหายโดยง่าย ยืดอายุของสินค้าให้นานขึ้นก่อนหน้านี้การนำถุงวิบวับแต่นำกลับมารีไซเคิลยากมากเพราะต้องแยกฟิล์มแต่ละชั้นออกจากกันก่อนจึงจะสามารถนำไปเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้ แต่หลังจากการศึกษาวิจัยพัฒนาก็พบว่าถุงวิบวับสามารถมานำเข้ามาสู่กระบวนการรีไซเคิลร่วมกับถุงก๊อบแก๊บ สร้างเป็นผลิตภัณฑ์ Upcycling ได้หลายอย่างเช่น โต๊ะ เก้าอี้ บล็อกปูพื้น หรือแม้แต่นำไปสร้างเป็นผนัง พื้น หลังคาบ้านก็ยังได้ขั้นตอนการทำบล็อกแมวบล็อกแมวรักษ์โลก ทำจากการบดย่อยถุงอาหารแมวเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปเทลงในเครื่องหลอมขยะพลาสติก เมื่อละลายดีเเล้วใส่ลงในแม่พิมพ์เหล็กรูปแมวเเละอัดออกมาเป็นบล๊อก ทิ้งไว้ให้เย็นตัวเเล้วเเกะออกมาใช้งานได้เลยทาสนุ้งหมา นุ้งแมวที่ต้องซื้ออาหารให้เจ้าของทุกวัน อย่าลืมรวบรวมถุงใส่อาหาร ล้างให้สาด ผึ่งให้แห้ง แล้วส่งไปกำจัดแบบถูก ดี มีประโยชน์ ได้ที่ โครงการกรีนโรด 148/3 หมู่ที่ 19 ต.มะเขือแจ้ อ.เมือง จ.ลำพูน 51000 โทรศัพท์. 088 684 3104ทาง เพจ GREEN ROAD จะนำไปผลิตเป็นบล็อกปูถนนจำหน่ายให้กับผู้ที่สนใจ เพื่อนำรายได้ไปใช้ในการบริหารจัดขยะพลาสติก และกิจกรรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการใช้ประโยชน์จากขยะพลาสติกภายในประเทศ และนำขยะพลาสติกไปทำถนนสีเขียว บล็อกปูพื้น โต๊ะเก้าอี้ และวัสดุก่อสร้าง เพื่อนำไปบริจาคในโรงเรียน บวร วัด และพื้นที่สาธารณะประโยชน์ทั่วประเทศอีกด้วย

12 ม.ค. 2022

GREEN CHARITY : SHARE FOR CARE

CLUB PRIDE DAY

18 เม.ย. 2024

Club Pride Day x น้องฉัตร Makeup | 18 เม.ย. 67

หน้าพร้อม ผมพร้อม เมคอัพพร้อม! CLUB PRIDE DAY สัปดาห์นี้พบกับ Makeup Artist สุดปัง!! ’น้องฉัตร - ฉัตรชัย เพียงอภิชาต‘ จากเด็กอาชีวะสู่ช่างแต่งหน้า NO.1 ของเมืองไทย . 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม พฤหัสนี้ มาทอล์กสไตล์ตัวมัมกับ ก็อตจิ และ เอแคลร์ จือปาก ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #CLUBPRIDEDAY #GREENWAVE1065 #GREENWAVE #น้องฉัตร #น้องฉัตรเมคอัพ #ฉัตรฉัตรชัย #NONGCHAT #NONGCHATMAKEUP #ดีเจพี่อ้อย #พี่อ้อย #ดีเจอ้อยนภาพร #ดีเจอ้อย #ก๊อตจิ #ก๊อตจิเทยเที่ยวไทย #LGBTQ #LGBT #ตัวแม่ #ตัวมัม

11 เม.ย. 2024

Club Pride Day x ต๊อกแต๊ก A4 | 11 เม.ย. 67

เปิดเรื่องราวชีวิต ฟังข้อคิดคำทำนาย ไปกับ "ต๊อกแต๊ก A4" ตัวแม่สายมู หมอดูเงินล้าน! พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #ต๊อกแต๊ก #ต๊อกแต๊กA4 #toktaka4 #มูเตลู #หมอดู #ดูดวง #ตัวเลข #เลขท้ายบัตรประชาชน #LGBTQ #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่

06 เม.ย. 2024

Club Pride Day x พั้มกิ้น หิ้วหวี | 4 เม.ย. 67

Club Pride Day x พั้มกิ้น หิ้วหวี | 4 เม.ย. 67 . เมื่อร่างกายไม่ไหวแต่ใจยังสู้ หนูก็กินไปเลยสิคะ เปิดตำนานกินจนแพ้กุ้งไปกับ "พั้มกิ้น หิ้วหวี" จากช่างทำผมสุดจึ้ง สู่ตัวแม่ตัวตึงแห่งแก๊งค์หิ้วหวี พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #พั้มกิ้น #พั้มกิ้นหิ้วหวี #pumpkin #ตัวแม่ #ช่างทำผม #Hiwwhee #Fantasy #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่

29 มี.ค. 2024

Club Pride Day x คุณ เพียว The Voice All Stars | 28 มี.ค. 67

Club Pride Day x คุณ เพียว The Voice All Stars | 28 มี.ค. 67 . พบกับ The Voice All Stars คนแรกของประเทศไทย!! ’คุณเพียว - เอกพันธ์ วรรณสุทธิ์‘ ตัวแม่อาร์แอนด์บีเมืองไทย ผู้หลงใหลเพลงสากล ขอวางไมค์นักร้อง…มาจับไมค์ทอล์กสไตล์ Diva . 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม พฤหัสนี้ วอร์มเสียงไปพร้อมกันกับพี่อ้อย และก๊อตจิ(ผู้ดำเนินรายการ) ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #CLUBPRIDEDAY #GREENWAVE1065 #GREENWAVE #เพียวTHEVOICE #THEVOICETH #THEVOICE #THEVOICEALLSTARS #เพียวTHEVOICEALLSTARS #เพียวKPN #เพียวเอกพันธ์ #ดีเจพี่อ้อย #พี่อ้อย #ดีเจอ้อยนภาพร #ดีเจอ้อย #ก๊อตจิ #ก๊อตจิเทยเที่ยวไทย #LGBTQ #LGBT #ตัวแม่ #ตัวมัม

21 มี.ค. 2024

Club Pride Day x นินจา จารุกิตต์ | 21 มี.ค. 67

ฟังเรื่องราวสุด POP ของ “นินจา จารุกิตต์” ลีดเดอร์วง ‘4MIX’ บอยแบนด์ LGBTQ+ ที่พา T-POP ดังกระหึ่มเวทีโลก!!! พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #นินจา #นินจาจารุกิตต์ #Ninja4MIX #ninja #njcha #4MIX #411records #tpop #unix #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่

14 มี.ค. 2024

Club Pride Day x พชร์ อานนท์ | 14 มี.ค. 67

Club Pride Day x พชร์ อานนท์ | 14 มี.ค. 67 . เปิดหน้าพงศาวดารไทยฉบับใหม่ไปกับ "พชร์ อานนท์" ผกก.หนังตัวตึง ยืนหนึ่งในจักรวาล..หอแต๋วแตก!!! พฤหัสนี้พร้อมกระทบไหล่ไปด้วยกัน 3 ทุ่ม - 4 ทุ่ม . กับดีเจพี่อ้อย และ ก็อตจิ ทาง GreenWave 106.5 FM FB / TIKTOK: @greenwave1065 Youtube: Atime . Club Pride Day คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่! . #ClubPrideDay #GreenWave1065 #GreenWave #พขร์ #พชร์อานนท์ #poj #ตัวแม่ #หอแต๋วแตก #pojarnon #Fantasy #worldequality #สมรสเท่าเทียม #ดีเจพี่อ้อย #ก๊อตจิ #ตัวแม่

Club Pride Day Recap

25 เม.ย. 2024

เปิดเส้นทางชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “น้องฉัตร Makeup” จากเด็กอาชีวะ สู่ช่างแต่งหน้าคิวทองของเมืองไทย

“ทุกวันนี้ที่เราประสบความสำเร็จ เพราะเราทำได้มากกว่า 1 อย่าง เราเป็นช่างแต่งหน้าได้ เราเป็นช่างทำผมได้ เราบริหารธุรกิจได้ ดังนั้นเวลาเราทำได้หลายอย่าง โอกาส เงิน หรือสิ่งต่าง ๆ ก็จะเข้ามาได้มากกว่าเช่นกัน”เปิด Club รวมสีสันของชีวิต พร้อมแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลในในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่ตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดต๊าช “น้องฉัตร-ฉัตรชัย เพียงอภิชาติ” ช่างแต่งหน้าคิวทอง เจ้าของผลงานการแต่งหน้าสุดจึ้ง ที่ได้ฝากผลงานไว้บนใบหน้าของคนดังมากมาย อย่าง หญิง รฐา,อั้ม พัชราภา, เป้ย ปานวาด หรือ นัท มีเรีย นอกจากนี้เขายังเป็นความฝันของเจ้าสาวหลายคน ที่อยากให้ น้องฉัตร มาสะบัดแปรงแต่งหน้าเนื่องในวันสำคัญของชีวิต จนต้องจองคิวยาวข้ามปีกันเลยทีเดียว กว่าจะมาถึงวันนี้ เขาผ่านหลากหลายสีสันของชีวิต และได้มีหลากหลายข้อคิดแรงบันดาลใจ ที่ได้แบ่งปันไว้ในรายการอีกด้วย“น้องฉัตร” ชื่อนี้ไม่ได้แต่งเอง“น้องฉัตร เป็นชื่อที่ผู้ชายตั้งให้ คือ คุณเอก เด็กวัดร้อยล้าน ตั้งให้ เรื่องของเรื่องคือ สมัยก่อนเราเป็นช่างผมอยู่ในวงการ แล้วเราไปทำผมในนิตยสารหนึ่ง ตอนนั้น คุณเอกเค้าก็เป็นนายแบบ แล้วด้วยความที่สมัยก่อนมันยังไม่มีการขอไลน์ แต่เราอยากรู้จักเค้า เค้าก็เลยถามว่า เราเล่น IG ไหม เค้ามีไอจี เราก็ถามว่า IG คืออะไร เพราะเป็นคนที่ไม่มีโซเชียลเลย ขนาดพี่อิ่ม ผู้จัดการบอกว่าให้เล่นโซเชียลเราก็ไม่เล่นเลย แต่พอผู้ชายบอกว่ามี IG ไหม เราสมัครตอนนั้นเลย แล้วผู้ชายก็ถามว่า แล้วพี่จะใช้ IG ชื่ออะไร ด้วยความที่เราชื่อ ฉัตรชัย เพียงอภิชาติ แล้วมันแมนมาก เราก็ตั้งใจว่าเอาเป็น น้องฉัตร แล้วกัน มันก็เลยเป็นที่มาของคำว่า น้องฉัตร ตั้งแต่นั้นมาจริง ๆ สมัยเด็ก เราเคยมีชื่อเล่น ชื่อแบงค์ แต่ตัวเองรู้สึกว่าไม่ชอบชื่อเล่น ตอนประมาณ 5-6 ขวบ เพราะเรารู้สึกว่า ฉัตรชัย มันดีแล้ว แล้วแม่เคยเล่าว่า สมัยเด็ก ๆ ตอนนั้นคุณปู่เป็นร่างทรง แล้วปู่บอกว่า เราเป็นกุมารมาเกิด ชื่อ ฉัตรมงคลชัย แต่ปู่บอกว่ามันยาวไป ถ้าจะตั้งชื่อเอาแค่ ฉัตรชัย ก็พอ แล้วเราไม่ชอบชื่อแบงค์ แม่ก็จะเรียกว่า ฉัตรชัย แล้วเวลาเรียกเร็ว ๆ ก็จะกลายเป็น ชัย ชัย กลายเป็นว่าแมนกว่าเดิมอีก”ย้อยวันวาน ของ ด.ช.ฉัตรชัย เพียงอภิชาติ“เมื่อก่อนเป็นเด็กที่ร่าเริงแจ่มใส ได้รับเกียรติบัตรมาโดยตลอด และเป็นเด็กกิจกรรม เป็นหัวหน้าห้อง แต่จะไม่ค่อยโดนเรียกเวลาต้องทำการแสดงหน้าชั้นเรียน เพราะว่าเราเป็นเด็กอ้วน เราก็คอยดูเพื่อน ๆ เต้นบ้าง รำบ้าง เราก็จะคอยเลื่อนโต๊ะให้เพื่อนซ้อมรำ หลังจากนั้นก็เป็นหัวหน้า เป็นผู้นำมาโดยตลอด อย่างตอนเรียนลูกเสือ เราก็จะเป็นคนสั่งทั้งหมดแถวตรง ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าหมู่ตลอด อาจจะด้วยความที่เราเป็นคนที่คอยเคลียร์กับทุกคนได้ ทั้งเพื่อน ทั้งอาจารย์ แล้วเราเป็นคนขี้สงสาร เป็นเพื่อนที่ใจดี เพื่อนเลยไว้ใจเราด้วยความที่เป็นเด็กเรียบร้อย แล้วเรามารู้ตัวตนตอนที่เราแอบชอบเพื่อนผู้ชายอีกคน ตอนนั้นประมาณ ม.2 คือเพื่อนผู้ชายคนนี้มันชอบมาเล่นกับเรา ชอบแกล้งเอามือมาจับก้นเราทุกวันเราก็เขิน เพราะว่ามันเหมือนในเรื่อง สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก อารมณ์แบบน้องน้ำพี่โชน แบบนั้นเลย แล้ววันวาเลนไทน์ เราก็ทำหมอนรูปหัวใจแล้วก็อยากเขียนชื่อเค้าลงไปว่ารัก... แต่เราก็ต้องเขียนว่ารักเพื่อน...นะ แล้วก็แอบเอาไปไว้ใต้โต๊ะเค้า ผู้ชายคนนี้ก็คือรักครั้งแรกที่รู้สึกว่าตัวเองชอบผู้ชาย แล้วสุดท้ายตอนนั้นได้มาเจอกันอีกครั้ง ก็ได้มาปรับความเข้าใจกัน แล้วบอกชอบกัน ในงานเลี้ยงรุ่น ก็บอกเพื่อนว่า เราชอบเธอนะ ชอบมาตั้งนานแล้ว เค้าบอกว่า แล้วทำไมพึ่งบอกตอนนี้ เราก็เลยรู้สึกว่าเค้าก็คงรู้สึกดีเหมือนกัน แต่ด้วยความเป็นเด็ก ก็เลยกลายเป็นอารมณ์แบบเป็นเพื่อนกัน ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าความรักแบบผู้ชาย แบบ LGBTQ+ มันเป็นยังไง แค่รู้สึกดีกับผู้ชายคนนี้ แต่เพื่อนผู้หญิงที่เรารู้สึกดีก็มีนะ เหมือนเราคุยกับเพื่อนผู้ชายสักประมาณ 6-7 ชม. ก็มีเพื่อนผู้หญิงที่เคยคุย 6-7 ชม.เหมือนกัน มันเป็นช่วงวัยเด็กที่เราไม่รู้เรื่อง แค่รู้ว่าเพื่อนผู้หญิงเรารู้สึกดีแบบฟีลเพื่อน แต่เพื่อนผู้ชายเรารู้สึกดีแบบฟีลอินเลิฟเรื่องดอกกุหลาบก็เคยมีนะ เรื่องคือวันนั้นเป็นวันไหว้ครู ซึ่งแต่ก่อนเราเป็นเด็กอ้วน ไม่เคยมีใครมาจีบ ไม่เคยมีแฟน พอมาวันหนึ่งเราเริ่มผอม ยุคเรียน ปวช. ก็จะมีรุ่นน้องไปเหมากุหลาบปากคลองตลาดมาให้เรา แล้ววันวาเลนไทน์จะได้ของขวัญแบบเยอะมาก เราไม่เคยมีโมเม้นท์ที่รู้สึกว่าตัวเอง Popular แล้วเคยมีผู้ชายบอกเราว่า ชอบเราสมัยที่เราอ้วนเป็นหมีพูห์ แล้วเราก็เชิดใส่ ว่าทำไมไม่มาบอกเราตั้งแต่ตอนนั้น แล้วพอผอมก็มาบอกว่าชอบเรา ก็เลยเชิดกลับเลย”ลดความอ้วน เพราะอยากเป็น BA ขายเครื่องสำอาง“ที่เปลี่ยนตัวเอง เริ่มผอมลง เพราะมีความฝันอยากเป็น BA ขายเครื่องสำอาง เรื่องของเรื่องคือเราอยากเป็นช่างแต่งหน้า สมัยเด็ก ๆ เราก็จะชอบไปบ้านป้า ไปรับจ้างเก็บทำความสะอาด แล้วขอนิตยสารจากพี่สาวมาเรียนแต่งหน้า แล้วเอาเด็กแถวบ้าน ทำเป็นเอามาสอนเรียนภาษาอังกฤษ สอนเรียนภาษาไทย แต่จบที่เอาเค้ามาเป็นแบบแต่งหน้า ทำผม เหมือนครูพักลักจำเรียนรู้เองเราชอบมองผู้หญิงสวย ๆ ชอบคนที่ดูดี ชอบคนหน้าตาสวย มาตั้งแต่เด็ก แล้วพอวันที่เราโตขึ้นเราเห็นคนในแมกกาซีนเค้าแต่งหน้าทำผมสวยจังเลย แล้วเค้ามีชื่ออยู่ในแมกกาซีน จนคิดว่าวันหนึ่งเราก็อยากมีแบบนั้นบ้าง หลังจากนั้นเราไปเดินห้าง แล้วก็รู้สึกว่าอยากอยู่กับเครื่องสำอาง เหมือน BA ที่อยู่กับเครื่องสำอาง แล้วเราเรียนเกี่ยวกับการขาย เรียนการตลาดด้วย ซึ่งอาจารย์ก็แนะนำให้เราออกไปฝึกงาน แต่ให้เลือกเอาว่าจะขายของแคตตาล็อค หรือว่าจะไปหาที่ฝึกงานเอง ด้วยความที่เพื่อนทุกคนก็เลือกขายของแคตตาล็อค แต่เรารู้สึกว่าไม่ได้ ฉันจะต้องออกไปเผชิญโลกภายนอก ก็เลยไปที่เคาท์เตอร์เซ็นทรัลบางนา แล้วก็ไปขอเบอร์บริษัทเครื่องสำอาง จนได้เบอร์ของบริษัทหนึ่งมา เราก็โทรไปบอกว่า ผมอยากจะมาขอสมัครเป็นเด็กฝึกงาน เค้าบอกว่า บริษัทไม่มีนโยบายการรับเด็กฝึกงาน เราก็แบบคิดว่าโอเคไม่เป็นไร ก็ลองกด 1 ต่อ กด 2 กด 3 กดไปจนถึงเบอร์สุดท้าย ไล่ไปทุกแผนกเพราะรู้สึกว่า โอกาสของเรามีสุดเท่าไหร่ก็ต้องไปให้สุด จนสุดท้ายก็เจอเครื่องสำอาง ซึ่งเป็นเครื่องสำอางแบรนด์แรกที่เราอยากจะกดไปหาเค้าแต่ว่าเราไม่กล้า สรุปคือแบรนด์ที่เราคิดว่าไม่กล้ากลายเป็นแบรนด์ที่รับเราเป็นพนักงานฝึกงาน เค้าบอกว่าให้ใส่ชุดสีดำนะ ซึ่งเราก็ไม่มีชุดสีดำ เราก็ไปซื้อเสื้อตัวละ 99 บาท กับกางเกงสแล็ค แล้วก็เข้าไปสมัครงานกับเพื่อนเป็นพนักงานฝึกงาน พอไปถึงเค้าก็บอกว่าเดี๋ยวพี่ให้ 300 นะ เราก็งงว่าเดือนละ 300 บาท หรือว่าฝึกงานเสร็จได้ 300 บาท แต่ด้วยความที่เราไม่ได้คิดเรื่องเงิน เพราะแค่เค้ารับเราก็ดีใจแล้ว ก็เลยตกลง แล้วพอไปถึงก็เจอรุ่นพี่รับน้องเลย เค้าบอกว่าให้เราจำสินค้าทุกตัวที่อยู่ในเคาท์เตอร์ให้ได้ เพื่อให้เราไม่มีเวลามาขายของ แล้วไม่ไปแย่งยอดเค้า ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่รู้ เค้ามาเฉลยที่หลัง แต่ตอนนั้นเราก็จำได้ไม่หมดหรอกเพราะสินค้ามันเยอะมากจริง ๆ เราเคยจะเรียนจบแค่ ม.3 เพราะว่าเรารู้สึกว่าอยากไปต่อสายอาชีพ พอคุยกับอาจารย์ท่านก็บอกว่า จริง ๆ แล้ว เราสามารถที่จะเรียนหนังสือต่อได้ แล้วก็ไปทางสายอาชีพได้ด้วย มันเป็นทางเลือกที่ดี เพราะเราจะสามารถมีเพื่อนได้มากกว่า 1 ทาง หมายถึงว่าเราสามารถมีเพื่อนทั้งสายที่เรียน ปวช. หรือ ปวส.ก็ได้ แล้วเราก็สามารถมีเพื่อนที่เรียนเสริมสวยด้วยกันก็ได้ ซึ่ง น้องฉัตร เริ่มเรียนทำผมตอนอายุ 14 ปี ตอนนั้นช่วงประมาณ ม.2นอกจากเป็นช่างแต่งหน้า อีกอย่างคืออยากเป็นครู เพราะเกิดวันพฤหัสบดีด้วย เราเป็นคนที่เชื่อเรื่องดวงแล้วบวกกับการกระทำด้วย เรารู้สึกว่าเวลาที่เราสอนใคร แล้วเราสามารถที่จะแนะนำได้ดี นอกจากนั้นเราอยากจะพัฒนาสังคม อยากจะให้น้อง ๆ ได้ทำตามความฝันของตัวเอง ซึ่งเราเคยไปให้ความรู้เด็ก ๆ บางทีเราถามเด็ก ๆ ว่า น้อง ๆ มีความฝันอยากเป็นอะไร ซึ่งบางคนก็ยังไม่รู้เลยว่าความฝันของตัวเองคืออะไร หรือบางคนก็มีความฝันแบบแปลก ๆ แตกต่างกันไป”ใครจะพูดอะไรไม่ซีเรียสเลย เพราะครอบครัวเราเข้าใจที่สุด“การที่เราเป็น LGBTQ+ สำหรับเพื่อนก็อาจจะมีล้อบ้าง แบบว่าเป็นตุ๊ดเป็นแต๋ว ถามว่าเรารู้สึกไหม บางทีเราก็รู้สึกนิดหน่อย แต่ไม่เท่าแบบป้าข้างบ้านหรือว่าลุงข้างบ้าน ที่ชอบมาถามพ่อแม่ว่า เรามีแฟนไหม แล้วถามต่อว่า แฟนเราเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย สิ่งนี้ทำให้เรารู้สึกว่า แล้วเค้ายุ่งอะไรด้วยแต่วันที่กำแพงความกลัวมันพังทลายไปเลย คือวันที่แม่ยอมรับเราได้ว่าเราเป็นแบบนี้ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะว่า ผู้ชายโทรเข้าบ้าน ตอนนั้นเป็นช่วงที่เริ่มผอมแล้ว แล้วผู้ชายที่อยากคบเราตอนเป็นหมีพูห์นั่นแหละที่โทรเข้ามา เรื่องเกิดจากในวารสารโรงเรียน เราก็จะให้ทั้งเบอร์บ้าน แล้วก็เบอร์โทรศัพท์มือถือ ลงไปในนั้น แต่เราดันให้เบอร์มือถือแล้วเลขมันสลับ เค้าก็เลยโทรเข้าเบอร์บ้านแล้วก็แม่รับสาย ซึ่งเค้าบอกว่าอยากคุยกับเรา แม่ก็เลยสงสัยเพราะปกติเราจะมีแต่เพื่อนผู้หญิง แต่คราวนี้เพื่อนผู้ชายโทรมา แม่ก็เลยรู้สึกว่าลูกเริ่มแปลก ๆ ลูกเริ่มโต เริ่มมีพฤติกรรมแปลก ๆ แม่ก็เลยเรียกคุยเลยว่า เดี๋ยวคืนนี้เราไปคุยกัน ก็เลยเข้าไปคุยแล้วแม่ก็ถามเลยว่าชอบผู้ชายใช่ไหม เราก็ได้แต่แบบพยักหน้าบอกว่าใช่ครับ คราวนี้แม่ก็เลยบอกว่า กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้มั้ย แม่ห่วงอย่างหนึ่งว่า การที่เราเป็น LGBTQ+ ด้วยสังคมไทยชอบวางภาพให้เราโดนหลอก โดนผิดหวังกับความรัก ซึ่งเราก็ให้เหตุผลกลับไปกับแม่ว่า จริง ๆ แล้วแม่รู้มั้ยว่า ไม่ว่าจะเป็นเพศอะไรมันก็มีหลอกกันได้ รักกันได้ ดังนั้นมันไม่ได้อยู่ที่เพศ แม่ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไร ขอให้ลูกแม่เป็นคนดีก็พอ หลังจากนั้นเรารู้สึกว่าทุกอย่างที่เหมือนบีบเรา หรือกำแพงที่สร้างไว้มันพังทลาย แล้วเรารู้สึกว่าลุงข้างบ้านพูดอะไรเราไม่ซีเรียส ใครจะพูดว่าเราเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วเราไม่ซีเรียสเลย เพราะครอบครัวเราเข้าใจที่สุด”เป็นช่างเสริมสวยได้ เพราะแรงสนับสนุนจากครอบครัว“เราโชคดีมากตรงที่ คุณแม่เป็นค่อนข้างให้อิสระมาก ถ้าเราชอบอะไร แม่จะให้เราทำเต็มที่ ตอนที่คุยกับแม่ตอนจะจบม.3 แล้วอยากไปทำผมเลยโดยตรง แม่ก็ตกลง แล้วเราก็เคยไปสมัครงานร้านทำผมแต่เค้าไม่รับ เพราะว่าเราอายุไม่ถึง แม่ก็เลยให้เราเอาโต๊ะเครื่องแป้งแม่มาเป็นที่ลองทำผม แล้วก็ซื้อเตียงสระให้ จำได้เลยว่า 1,500 บาท สระไปสักพัก พอฝนตกก็ยกเตียงเข้าบ้านไปสระในห้องน้ำต่อ ตอนนั้นเราก็ทำงานเก็บเงินไปเรื่อย ๆส่วนคุณพ่อตอนแรกก็จะมีค้านนิดหน่อย พ่อบอกว่างานเสริมสวยเป็นงานของผู้หญิงนะ ซึ่งก็โชคดีที่ครูสอนทำผมเค้าเป็นเพื่อนของพ่อพอดี แล้วพ่อดันไปทำงานอยู่ในโรงงานที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ผมพอดี พ่อก็เลยเอาผลิตภัณฑ์ผมมาให้เราด้วย แล้วพ่อเห็นว่าเราทำงานเลี้ยงดูตัวเองได้ จากที่พ่อรู้สึกว่างานเสริมสวยเป็นงานของผู้หญิง กลับกลายเป็นว่าพ่อสนับสนุน แล้วก็เอาของเครื่องสำอางมาให้เราด้วย น้องฉัตรก็เลยรู้สึกว่าชีวิตเราโชคดีที่มีคุณพ่อคุณแม่ แล้วคนรอบข้างที่ซัพพอร์ตเราดีมาก”มุมมองเปลี่ยนไป จากการเรียนสายอาชีวะ“พอเรียนสายอาชีวะ มุมมองก็เปลี่ยนเลยครับ เราได้เห็นสังคมในด้านต่าง ๆ การที่เราเรียนสายอาชีวะ ในตอนเรียน บางทีเพื่อน ๆ เค้าไปเที่ยวกัน แต่เราก็จะแบกกระเป๋าไปทำงาน คือเราจะไม่มีชีวิตวัยเด็กที่เหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ ดังนั้นมันก็เลยทำให้เรารู้สึกว่าเราโตกว่าคนอื่น ก็คือบางทีเพื่อนไปดูหนังกัน แต่เราต้องไปรับแต่งหน้างานรับปริญญาตอนตี 3 ซึ่งสมัยก่อนก็หัวละ 500 บาทน้องฉัตรจะบอกว่า มันยุคสมัยใหม่แล้ว ถ้าลูกเรารู้ว่าทำอะไรได้ดี เราก็ควรสนับสนุนสิ่งนั้นไปเลย และอยากให้เด็ก ๆ ทุกคนได้ลองหาความฝันตัวเองให้เร็วที่สุด อย่าง น้องฉัตร รู้ว่าเราชอบทางด้านเสริมสวยมาตั้งแต่เด็ก พอมันเริ่มเร็ว เราจะได้ลองผิดลองถูกเร็ว แล้วด้วยความที่เราเป็นเด็ก เวลาเราไปทำอะไรผิด ผู้ใหญ่เค้าจะยังเอ็นดู แต่สมมติว่าเราได้มาทำผิดตอนโตแล้ว มันก็จะถูกมองคนละมุม คนก็จะมองว่าเราทำงานผิดพลาด ดังนั้นเรารู้สึกว่า ถ้าน้อง ๆ หนู ๆ ชอบเรื่องไหน ก็อยากให้โฟกัสไปเรื่องนั้นเลยเดี๋ยวนี้มันมีการเรียนรู้ที่ค่อนข้างเยอะ เราสามารถเปิดอินเตอร์เน็ตได้ เราสามารถที่จะไปเรียนด้านต่าง ๆ ได้ คนเรามี 24 ชั่วโมงเท่ากันทุกคน แต่เราสามารถทำ 24 นี้ โดยหาจุดที่มันจะฝึกทักษะเพิ่มกับตัวเองให้มันได้เยอะที่สุด เพราะอย่าง น้องฉัตร ทุกวันนี้ที่เราประสบความสำเร็จ เพราะเราทำได้มากกว่า 1 อย่าง ถ้าคนเราทำได้มากกว่า 1 อย่าง โอกาสมันก็จะมากเท่ากับสิ่งที่เราทำได้ เราเป็นช่างแต่งหน้าได้ เราเป็นช่างทำผมได้ เราบริหารธุรกิจได้ ดังนั้นพอเวลาที่เราทำได้หลาย ๆ อย่างมากกว่าคนอื่น โอกาส เงินหรือว่าสิ่งต่าง ๆ มันก็เข้ามาได้มากกว่าคนอื่น”กว่าจะเป็น น้องฉัตร ใช่ว่าจะไม่เคยพลาด“ตอนนั้นเป็นช่างทำผมก่อนครับ แล้วก็เก็บเงินซื้อเครื่องสำอาง แล้วก็เริ่มฝึกเรียนเป็นช่างแต่งหน้า ตอนนั้นมีคลาสเรียน 7 วัน ทำได้ 4 วันเพราะว่าโรงเรียนเปิดก่อน แล้วก็ไปรับจ้างแต่งหน้าที่บ้านลูกค้าบ้าง จำได้เลยว่าเจ้าสาวคนแรกที่เรารับ ตอนนั้นเค้าติดต่อมาตอนช่วงบ่าย แล้วอยากให้เราแต่งหน้าตอนเย็น แล้วเราก็รับ คือถ้าเป็นตอนนี้ไม่ได้แล้วนะ ต้องจองข้ามปีสมัยก่อนแต่งหน้าเจ้าแรก 700 บาท ตอนแรกลองทาตาสีน้ำตาลแล้ว ซึ่งมันไม่รอด ก็เลยเปลี่ยนเป็นตาฟ้า ปากสีชมพูบานเย็น แล้วทำผมทรงรังนก หยุม ๆ ผม แล้วก็ตะกุยผม ติดดอกลิลลี่ แล้วเราก็อยากให้ดอกลิลลี่มันมีความวิบวับ ก็เลยเอากลิตเตอร์โรย แล้วก็ฉีดสเปรย์ทับดอกลิลลี่เพราะกลัวกลิตเตอร์มันปลิว ไปถึงงานปรากฎว่าดอกลิลลี่เหี่ยว ยุคนั้นพอเราย้อนความทรงจำไปมันก็มีความสนุกนะ ทุกวันนี้ที่เก่งได้ เพราะความผิดพลาดนั่นแหละ ทุกวันนี้ เจ้าสาวคนนั้นลูกเค้าโตแล้ว ยังอยู่บ้านในซอยเดียวกัน มีคนรีเควสว่า อยากเอาคนนั้นกลับมาให้แต่งหน้าใหม่อีกรอบ ซึ่งถ้ามีเวลาเดี๋ยวจะทำคอนเทนต์นี้ดูเราเป็นคนที่มีความฝันมาโดยตลอดว่า ฉันจะต้องเป็นช่างแต่งหน้าที่คนรู้จัก ในช่วงอายุไม่เกิน 30 ปี จนตอนนี้ 36 ปีแล้ว ก็ประสบความสำเร็จ สำหรับตัวน้องฉัตรเอง น้องฉัตรคิดว่าเราเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตคนหนึ่ง ที่ไม่ได้เกิดมาบ้านรวยอยู่แล้ว เราสามารถสร้างเองได้ จนมาถึงจุดนี้ก็ดีมากแล้ว”ทำไม น้องฉัตร ถึงเป็นช่างแต่งหน้าเจ้าสาวคิวทอง“ลูกค้าเค้าอาจจะติดตามเรา แล้วก็เห็นผลงานของเรา และหลายคนที่เห็นผลงานเค้าชอบบอกว่าเราแต่งหน้าแล้วดูเด็กขึ้น แก้ไขรูปหน้าได้ คือต้องบอกว่า เราเป็นคนที่จริง ๆ ไม่ได้มีพื้นฐานการเรียนทางด้านชาร์ตสี แต่ของเราจะเป็นการแต่งหน้าตามจินตนาการ ทำให้เวลาแต่งหน้าเราไม่มีแพทเทิร์นว่า 1.ลงรองพื้น 2.เขียนคิ้ว เราจะมองว่า ปัญหาของลูกค้าคนนี้คือส่วนไหน แล้วเราจะแก้ส่วนนั้นก่อน แล้วเราก็จะเป็นคนที่แต่งหน้ากับกระจกให้เค้ามอง ให้เค้าเห็นวิธีการทำ จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงเรื่อย ๆ แล้วเราก็จะบอกเหตุผลว่าเพราะอะไรทำไมเราถึงทำแบบนี้ แต่จริง ๆ แล้ว ความสวยมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับหน้าอย่างเดียว มันมีองค์ประกอบหลาย ๆ การที่วันสำคัญคนแต่งหน้าอยากให้เป็นน้องฉัตร เพราะเค้าอาจจะอาจจะอยากซื้อความสบายใจ และเค้าอาจจะรู้สึกว่าเราเป็นคนที่ใจดี พูดคุยได้ และอยากได้พื้นที่สบายใจทุกวันนี้ลูกค้าดูแลเราดีมาก บางคนก็ซื้อช่อดอกไม้ให้ บางคนก็ซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมให้ บางคนให้เงินทิปเหมือนมีแม่ยกช่างแต่งหน้า แต่มันก็มาพร้อมความกดดันนะ เพราะว่าเราจะบอก ทุกครั้งเลยว่าเราคือเมคอัพอาร์ติส เราไม่ใช่หมอศัลยกรรม ดังนั้นบางทีเราจะไฮไลท์จมูกให้มันโด่ง มันก็จะโด่งได้แค่พอมีมิติ คือการแต่งหน้ามันอยู่ที่การจัดแสงด้วย บางทีเราแต่งหน้าเสร็จไปยืนใต้ไฟ หน้าเปลี่ยนเป็นเบ้าหมีแพนด้าก็มี ดังนั้นมันควรจะต้องมีหลาย ๆ องค์ประกอบ”กว่าจะเป็นลุคสุดปังของ หญิง รฐา ในเทศกาลหนังเมือนคานส์“ผลงานแต่งหน้าที่สร้างชื่อเลยก็คือตอนแต่งหน้าให้ พี่หญิง รฐา งานเทศกาลหนังเมืองคานส์ปี 2013 ที่เป็นลุคผมตีหม้อ ใส่ชุดผ้าไทยสีเขียว กะเทยทุกคนก็ต้องมาคัฟเวอร์เป็นผมทรงหม้อหญิง รฐา จุดเริ่มต้นคือตอนนั้นเราไปแต่งหน้าให้กับ พี่ตั๊ก บงกช ในจันดาราภาค 2 แล้วเจอ พี่หญิง อยู่ดี ๆ พี่หญิงก็เดินเข้ามาหาเรา แล้วก็ทักเราว่า นี่ใช่น้องฉัตรที่คนพูดถึงไหม เราก็สวัสดี แล้วพี่หญิงก็บอกว่า ถ้ามีโอกาสไว้แต่งหน้าทำผมพี่หญิงบ้างนะ เราก็คิดว่าพี่เค้าคงพูดตามมารยาทแต่เราก็รอนะ ระหว่างนั้นเราก็ไปคอมเมนต์ IG ว่า อยากมีโอกาสแต่งหน้าพี่หญิงจังเลย ซึ่งเค้าเห็นว่าเราไปคอมเมนต์ แล้ววันนึงเค้าก็ให้ผู้จัดการติดต่อเราให้ไปแต่งหน้างานถ่ายแมกกาซีน วันนั้นเราก็ไปแต่งหน้า แต่เอากระเป๋าทำผมไปด้วย เพราะว่าสมัยก่อน ใครจ้างน้องฉัตรก็จะเป็นช่างหน้าผมไม่ได้แยก เราก็เอากระเป๋าทำผมไปด้วย เดชะบุญวันนั้นช่างผมเป็นช่างที่เรารู้จัก แล้วเค้าต้องวิ่งงาน ก็เลยบอกว่า น้องฉัตร พี่ขอฝากทัชอัพผมต่อเลยได้ไหม เราก็ตกลง ซึ่งเราแค่คลายลอนออกนิดนึง แล้วสไตล์ลิสสั่งให้เรารวบผม พอพี่หญิงเปลี่ยนชุดเสร็จ เราก็เลยจับเค้ารวบผมภายใน 10 นาที แล้วในช่วงที่พี่หญิงพักกินข้าว เค้าก็ถามเราว่าไปคานส์กันมั้ย เราฟังไม่ถนัดก็เลยถามว่า ไปกาญจนบุรี เหรอครับ พี่หญิงบอกว่าไม่ใช่ เมืองคานส์ ฝรั่งเศส เราก็เลยบอกว่าจริงเหรอครับ ตอนนั้นไม่กล้าบอกใครเลยเพราะว่ากลัวไม่ได้ไป มาบอกแม่ กับพี่อิ่มที่เป็นผู้จัดการ 2 คนเท่านั้น ว่าพี่หญิงชวนเราไปคานส์ แล้วเค้าก็ขอชื่อเราจองตั๋ว แล้วก็ไปทำวีซ่า จนกระทั่งวันที่ไปคานส์แล้วรูปลง ทุกคนถึงรู้ว่าน้องฉัตรไปคานส์กับ หญิง รฐาแล้วเบื้องหลังมันไม่ง่ายนะ วันนั้นมันต้องเริ่มแต่งตั้งแต่ 7 โมงเช้า ตอนนั้นฟ้ามืดมากเหมือนตี 3 บ้านเรา ก็เลยต้องเอาโทรศัพท์มือถือส่องไฟแล้วแต่งหน้า จับมือถือข้างนึงแล้วก็แต่งหน้าเขียนคิ้ว เขียนตา แล้วตอนแรกวางทรงผมไว้ว่าเป็นทรงจันดารา คือหวีลอนแห้งแล้วเป็นบ๊อบสั้น แต่ด้วยความที่กิจกรรมมันยาวมากแล้วมันไม่ทัน แล้วตอนนั้นไปเดินอยู่ที่ฝรั่งเศส เจออุปกรณ์ทำผมเหมือนใยบวบเป็นทรงกลม ก็เลยเอามาวางแล้วก็ทำทรงหม้อออกไปเลย กลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ ตอนนั้นเคยถามตัวเองว่าสรุปแล้วฉันอยากเป็นช่างแต่งหน้าหรือช่างทำผม ทุกคนก็เลยให้น้องฉัตรเป็น เมคอัพอาร์ติสเถอะ”น้องฉัตร กับความฝันที่เป็นจริง“เคยฝันว่าอยากแต่งหน้า พี่ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก เพราะว่าสมัยเด็ก ๆ เราเคยดูการประกวด ตอนนั้น พี่ปุ๋ย คือนางงามจักรวาล แล้วเราก็รู้สึกว่า อยากแต่งหน้านางงามจักรวาล แล้ววันหนึ่งมันเกิดขึ้นจริง ซึ่งการจะได้แต่งหน้าพี่ปุ๋ย เราต้องส่งเรซูเม่ ส่งโปรไฟล์ต่าง ๆ ให้เค้าคัดเลือก โดยมีช่างแต่งหน้าคนอื่น ๆ ที่ส่งไปพร้อมกัน และตอนแรกพี่ปุ๋ยยังไม่ตอบกลับมา ซึ่งใกล้วันแล้วที่พี่ปุ๋ยจะกลับมาไทย เราก็เลยไปเอากระดาษที่วัดพุทไธสวรรค์ ที่เป็นกระดาษยันต์ เอามาเผาแล้วขอบอกว่า ขอให้ได้แต่งหน้าพี่ปุ๋ยแล้ววันหนึ่ง เค้าก็ติดต่อเรามาจริง ๆ แล้วพอเราไปที่ แมนดารินโอเรียลเท็ล เราขนลุก แล้วเราฝนสีอายเชโดเท่าไหร่มันก็ไม่ขึ้นสีสักที ด้วยความที่เราตื่นเต้นด้วย เราก็ตั้งสติ เพราะเราเคยผ่านระดับซุปเปอร์สตาร์ นางเอกเบอร์ 1 ของเมืองไทยมาแล้ว และ ด้วยความที่ พี่ปุ๋ย เค้าน่ารัก แล้วก็เฟรนด์ลี่มาก ชวนเราคุยเยอะเลย จังหวะที่นั่งแต่งหน้าพี่ปุ๋ย เรารู้สึกว่า ความฝันมันเป็นจริง จากที่เราเคยฝันว่าเราอยากประสบความสำเร็จ อยากเป็นช่างแต่งหน้าตอนอายุ 30 ซึ่งตอนที่เราไปเมืองคานส์กับพี่หญิงตอนนั้นประมาณ 30 ย่างเข้า 31 แล้วหลังจากนั้นความฝันที่ 2 คืออยากแต่งหน้านางงามจักรวาล ก็ปรากฏว่าเราได้แต่งหน้านางงามจักรวาลจริง ๆ ภูมิใจมากเลย พี่ปุ๋ย น่ารักมาก แล้วเค้าก็ดีใจกับความฝันที่เราเคยฝันไว้ตอนเด็ก ๆ แล้วมันเกิดขึ้นจริงในอนาคตอยากแต่งหน้า Beyonce มันมีที่มาคือ กับพี่อิ่ม ที่เป็นผู้จัดการของเรา เราโตมาด้วยกัน ผ่านจุดร้อน จุดหนาว จุดเหนื่อยด้วยกันทั้งหมด แล้วสมัยก่อนเค้าเคยเล่าให้ฟังว่า เค้าเป็นสาวโรงงาน แล้วเค้าเก็บเงินเพื่อไปดูคอนเสิร์ต Beyonce แล้วเค้าไปไม่ทันเพลงแรก เค้ารู้สึกเสียใจมาก เราก็เลยรู้สึกว่า เราอยากทำความฝันนี้ของพี่อิ่มให้เป็นจริง ถ้าวันที่ฉันได้แต่งหน้า Beyonce เธอจะต้องไปอยู่ข้างๆ ฉันนะ แล้วเธอก็ไปบอก Beyonce ด้วยว่าช่ วยร้องเพลงแรกวันนั้นให้หน่อยเพราะฉันพลาดไป ถ้า Beyonce ได้มาไทย ใครที่รู้จัก Beyonce ช่วยเอาน้องฉัตร ไปแต่งหน้าด้วยนะครับและในอนาคต อยากเปิดศูนย์ฝึกอาชีพ มันอาจจะไม่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ แต่ช่วงวันเกิด หรือวันพิเศษ เราจะเอาเงินของเราไปช่วยสนับสนุนเรื่องของการซื้ออุปกรณ์ ในศูนย์ฝึกต่าง ๆ ที่เค้ามีอยู่แล้ว หากมีโอกาสเราก็อยากเปิดศูนย์ฝึกอาชีพของตัวเอง”จุดเริ่มต้นของ ช่างแต่งหน้าสายมู“เราเชื่อการมู 50 แล้วก็การทำตัวอีก 50 ที่เรามีความเชื่อเพราะสมัยก่อนเคยมีคนทักว่าเราโดนของ มันมีช่วงที่เป็นจุดบอด ช่วงนั้นสมมติว่าเราจะทำธุรกิจใหม่ เงินก็สูญไป 5 ล้านบาทเปล่า ๆ โดยที่แบบยังไม่ขึ้นมาเป็นโพรดักส์ ตอนนั้นทุกอย่างมันดาวน์ไปหมดเลย พอไปเปิดดูดวง หมอดูก็ทักว่ามีเกณฑ์โดนของนะ เราก็ถามว่าจะต้องทำยังไง ก็เลยมีคนสอนเราให้ไปแก้ แล้วรู้ไหมว่าผี หรือเทวดา เค้าก็เหมือนคน คือถ้าสมมติว่าเค้าเห็นเราเป็นคนดี จากที่เค้าจะทำอันตรายเรา เค้าก็จะเมตตาสงสารเรา เพราะว่าเห็นว่าเราเป็นคนตั้งใจขยัน สามารถช่วยให้ประสบความสำเร็จได้ ถ้าเราขี้เกียจ แล้วมูเตลูขนาดไหน ความร่ำรวยหรือเงินมันก็ไม่มา มันก็ต้องขยัน 50 บวกกับดวง 50”เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ “น้องฉัตร”“ความรักมันขึ้นกับช่วงของเวลาจริง ๆ แล้วเวลาผิดพลาดเรื่องของความรัก เราก็เก็บความทรงจำต่าง ๆ ที่มันผิดพลาดนำมาปรับด้วย เมื่อก่อนเราจะโดนผู้ชายบอกเลิก เพราะว่าเราเป็นคนที่เก่งเกินไป ผู้ชายทุกคนจะพูดว่าเราเก่งเกินไป ซึ่งเราก็กลับมามองตัวเองแล้วพบว่า เพราะบางครั้งเราใช้วิธีการบริหารแบบนักธุรกิจหรือเป็นผู้นำเกินไปกับความรัก ซึ่งจริง ๆ แล้วความรักบางอย่างเราต้องเป็นผู้ตามบ้าง เราต้องเป็นคนที่ไม่รู้บ้าง เพราะว่าผู้ชายที่เค้าอยากจะดูแลเราเค้าก็อยากมีความเป็นผู้นำบ้าง ก็เลยเอาความผิดพลาดเรื่องความรักต่าง ๆ อย่างเช่น รักครั้งแรกก็รักกับเด็ก แล้วจับได้ว่า เค้าไปมีแฟนใหม่เป็นเด็กรุ่นเดียวกัน เราก็จองตั๋ว แล้วบินไปจัดการเลย ตอนนั้นก็เล่นบทเป็นนางเอกว่าฉันอยู่ได้ ปรากฏว่าจริง ๆ แล้วคือ ฉันอยู่ไม่ได้ ดังนั้นถ้าเกิดเรารู้สึกว่าอยู่ไม่ได้ ให้บอกผู้ชายไปเลยว่าอยู่ไม่ได้ อย่าของเราคือ ผู้ชายเลือกอีกฝั่ง เพราะว่าเค้าบอกว่าเค้าจะฆ่าตัวตาย เค้าอยู่ไม่ได้ ฝั่งโน้นดูอ่อนแอกว่า เราดูเข้มแข็งกว่า ผู้ชายเลยไม่ได้เลือกเราเราเคยทนจีบผู้ชายหนึ่งปีเต็ม ๆ น้ำหยดลงหิน สักวันหินมันยังกร่อน ก็ทนไป ให้เวลาตัวเองเลย 1 ปี แล้วผู้ชายบอกว่า ผมชอบใครก็ได้ที่รักครอบครัวผม เราก็เลยเข้าทางแม่เลย คุยกับแม่เค้าทุกเรื่อง จนผู้ชายบอกว่า ผมไม่ชอบเลยครับเอาเรื่องผมไปคุยกับแม่ กลายเป็นเราก้าวก่ายเรื่องชีวิตเค้าเกินไปจนมาถึงคนปัจจุบัน เรารู้แล้วว่าเรื่องเค้าคือเรื่องของเค้า จะไม่มีการเอาเรื่องของเค้าไปนั่งคุยกับคนอื่น เรานับถือแม่เค้า เรานับถือครอบครัวเค้าได้ แต่มันไม่ใช่การเอาเรื่องของเค้าไปเล่าให้แม่เค้าฟังทุกเรื่องเหมือนไปรายงาน ซึ่งผู้ชายคนนี้ดีมาก เพราะเป็นคนเดียวที่เวลาไปดูหนังแล้วเลี้ยงหนังเรา ไปกินข้าวเค้าจ่ายเงินหรือแชร์กัน ไม่เคยขอเงิน หาเงินเลี้ยงดูตัวเอง แล้วเดินไปไหนก็ภูมิใจกับการที่ยอมจับมือ อยู่ต่อหน้าสื่อจะจูบยังไงก็จูบได้เลย เค้าไม่ได้รู้สึกว่าเขินอาย ดังนั้นมันจะมีสักกี่คนบนโลกใบนี้ที่รู้สึกว่ารัก LGBTQ+ แล้วยอมรับในทุก ๆ มิติของเราได้ มันก็เลยรู้สึกว่า คนนี้แหละใช่ที่สุดแล้ว”สีสันแรงบันดาลใจจาก น้องฉัตร“น้อง ๆ คนไหนที่อยากจะประสบความสำเร็จเหมือนใคร บางครั้งเราอาจจะต้องมีพื้นฐาน หรือว่ามองเค้าเป็นไอดอลแล้วลองดูจุดดีของเค้า ในส่วนจุดเสียของเค้าเราก็เอามาปรับใช้และในยุคปัจจุบัน ไม่อยากให้ทุกคนเคร่งเครียดกับชีวิตที่มันโดนกดดันด้วยสื่อโซเชียลมีเดีย อยากให้ทุกคนรู้สึกสบาย คำว่าสบายในที่นี้ หมายถึง ถ้าเด็ก ๆ มีความรับผิดชอบในเรื่องของการเรียนก็เรียน แต่ถ้าเกิดสมมติว่าเราอยากทำกิจกรรมอย่างอื่น อยากเป็นคนที่มีชื่อเสียง ก็ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์เราทุกคนสามารถผิดพลาดได้ เมื่อผิดพลาดก็ให้เรายอมรับ ถ้าผิดจริงก็ขอโทษ แล้วปรับปรุง อยากให้ทุกคนใช้ชีวิตแบบเป็นธรรมชาติ เพราะการที่เราทำตัวธรรมชาติมันจะดีมาก การที่บางทีเราสร้างโปรไฟล์อยากให้ทุกคนมองเห็นว่าเรามี แต่ถ้าในอนาคตเราไม่มี จากที่คนอื่นเค้าเห็นว่าเรามี เค้าจะกลายเป็นสมน้ำหน้า อยากให้ทุกคนยอมรับความเป็นจริง สำหรับใครที่เคยทำงานหรือบริหารธุรกิจผิดพลาด ความล้มเหลว ถ้าเรามองด้วยสติ เราจะได้ปัญญา อย่างเราเคยมีคนไม่ชอบ เราไม่ได้สนใจ เพราะการการันตีที่ดีที่สุด คือชีวิตเราที่มันดีมากยิ่งขึ้น เราไม่สามารถบอกใครได้ว่าเราดียังไง แต่เราสามารถให้ทุกคนเห็นเราดีได้ด้วยการกระทำ” – น้องฉัตรพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

19 เม.ย. 2024

เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดพร้อมคำทำนาย ของ “ต๊อกแต๊ก A4” ตัวแม่สายมู สู่เจ้าของฉายา “หมอดูเงินล้าน!”

“เหรียญมี 2 ด้านเสมอ อะไรมากเกินไปก็ไม่ดี น้อยเกินไปก็ไม่ดี เรื่องดวง ต๊อกแต๊ก พูดเสมอว่า อย่าไปเอาหมอดูมาเป็นตัวตัดสินใจทั้งหมด ให้มองว่าหมอดูเป็นแค่ไกด์ไลน์ชีวิต เพราะสิ่งที่เกิดในชีวิต มันมาจากดวงส่วนนึง และการกระทำของเราอีกส่วนนึง ซึ่งมันจะมีผลของมันอยู่”Club นี้มีเรื่องราวมากมาย Club นี้มีหลากหลายสีสัน และ Club นี้ยังคอยแบ่งปันแรงบันดาลใจดี ๆ ในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดต๊าช “ต๊อกแต๊ก A4” ตัวแม่สายมูเตลู กับเหตุการณ์เซ้นส์พลิกชีวิต ให้กลายเป็นหมอดูชื่อดัง เจ้าของฉายา “หมอดูเงินล้าน” สีสันของชีวิต ข้อคิดแรงบันดาลใจ พร้อมคำทำนายสุดจึ้ง ได้ถูกแชร์ไว้ในรายการอีกด้วยดร.ณฐอร นพเคราะห์ กับเส้นทางการท่องเที่ยวตามรอยพญานาค“ต๊อกแต๊ก เพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก Marketing Communication ซึ่งหลักสูตรนี้เป็นของบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ซึ่งตอนปริญญาตรี ต๊อกแต๊ก เรียนจบคณะศิลปกรรมศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม หนูเป็นเด็กบ้านนอก พอเข้ามาในกรุงเทพปุ๊บ เราก็เหมือนต้องมาบากบั่นหาเงิน แล้วก็ส่งเสียครอบครัว ส่งน้องสาวเรียนด้วย ตอนนั้นเราก็เลยไม่มีโอกาสเรียนต่อ แต่สุดท้ายหนูได้ทุนจาก มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ซึ่งในตอนแรกหนูได้ทุน ป.โท ก่อน แล้วพอเรียนประมาณ 1ปี คณบดีบัณฑิตวิทยาลัยก็แจ้งข่าวสารมาว่า ทางมหาวิทยาลัย อนุมัติให้ต๊อกแต๊ก เรียนหลักสูตรโทควบเอก หนูก็เลยต้องลาออกแล้วไปลงเรียนใหม่ ผ่านไป 4 ปี ก็เรียนจบ เพิ่งรับปริญญามาเมื่อ วันที่ 29 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมาค่ะความเชื่อในเรื่องพญานาค ด้วยความที่ต๊อกแต๊ก เป็นเด็กอุบลราชธานี มีคุณตาเป็นหมอธรรม คือเป็นคนที่ศึกษาเรื่องของไสยเวท ส่วนคุณปู่ก็เป็นเหมือนหมอดูด้วย เป็นหมอดูที่ต้องเขียนกระดานชนวน แล้วทั้งคู่ก็จะมีความเชื่อในเรื่องของพญานาค ทำให้ต๊อกแต๊กก็เชื่อในเรื่องของพญานาคอยู่แล้ว เชื่อว่าท่านบันดาลฝน ช่วยเหลือมนุษย์ และนำพาความเจริญรุ่งเรืองมาให้เราแต่พอเรามาอยู่ในบทบาทการเป็นนักวิชาการ เราก็ต้องห้ามอคติกับข้อมูล แล้วก็ต้องศึกษาหลาย ๆ มุม บวกกับตัวเองเป็นคนที่ชอบความอลังการ ความสวยงาม งานสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ต๊อกแต๊ก เลยได้นำเรื่องราวของพญานาค มาสร้างเป็นสตอรี่ เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยว โดยพื้นที่ขอบเขตงานวิจัยของหนูคือเส้นแม่น้ำโขง ตั้งแต่จังหวัดเลย ไปจนถึง จังหวัดอุบลราชธานี เราก็ไปเลือกแหล่งท่องเที่ยวมา แล้วนำมาจัดกรุ๊ปเป็นเส้นทางแต่ละเส้นทาง ได้ทั้งหมด 99 แหล่งท่องเที่ยว ใน 9 เส้นทางความเชื่อเรื่องพญานาค ของคนภาคอีสาน เค้าจะมี ฮีตสิบสอง คลองสิบสี่ ฮีตสิบสองก็คือประเพณีที่เป็นจารีตที่ทำต่อ ๆ กันมา ซึ่งมันจะมีช่วงที่ฝนแล้งต้องขอฝน คนอีสานก็เลยต้องขอพญาแถน โดยการจุดบั้งไฟขึ้นไป นอกจากนี้คนอีสานก็เชื่อว่าพญานาคก็เป็นผู้บันดาลฝน บันดาลน้ำ พอเราได้ไปศึกษาความหมายของพญานาค ตามข้อมูลงานวิจัย หรือตามเอกสารต่าง ๆ บอกว่าพญานาคเป็นผู้ยิ่งใหญ่ทางน้ำ และมีความเชื่อเรื่องของการบันดาลฝน บันดาลน้ำ บันดาลความเจริญอุดมสมบูรณ์ เพราะน้ำคือตัวแทนความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งหากเรามองในยุคปัจจุบัน จากการเก็บข้อมูล เราจะเห็นว่าในภาคอีสานมีพญานาคอยู่หลาย ๆ แห่ง ซึ่งตรงไหนที่มีพญานาค ส่วนใหญ่จะเกิดเศรษฐกิจชุมชน เช่น ขายบายศรี ขายดอกไม้ ขายพวงมาลัย รวมไปถึงขายสลากกินแบ่ง มันก็เป็นการสร้างเม็ดเงินหมุนเวียน ต๊อกแต๊ก ก็เลยมองว่า จริง ๆ แล้วถ้ามองในเรื่องของความเชื่อสมัยก่อน ที่เชื่อว่าพญานาคให้ความเจริญ อาจจะหมายถึงการทำให้น้ำอุดมสมบูรณ์ ทำให้พืชผลทางเกษตรกรรมเจริญงอกงาม แต่ในปัจจุบันนี้อาจจะหมายถึง การทำให้เม็ดเงินเกิดการหมุนเวียนในจังหวัด อย่างเช่น นครพนม กำลังจะพัฒนาจากเมืองรองเป็นเมืองหลัก บึงกาฬกำลังจะมีสนามบิน นอกจากนี้สนามบินกำลังจะเกิดขึ้นใน มุกดาหาร พะเยา พังงา ส่วน กาฬสินธุ์ และ มหาสารคาม ก็จะร่วมกันทำสนามบินต่อไปในอนาคตค่ะ”ต๊อกแต๊ก A4 กับจุดเริ่มต้นบนเส้นทางหมอดู“ฉายา ต๊อกแต๊ก A4 มาจากกระดาษ A4 ที่เราใช้จดชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิด แล้วก็จะดูดวงจากกระดาษ A4 เลยเป็นที่มาของ ต๊อกแต๊ก A4 จุดเริ่มต้นของการดูดวง ย้อนกลับไปก่อนจะเป็นหมอดู สมัยก่อนเราเป็น AE แล้วก็ต้องไปดูการตัดต่อ เพราะต้องไปดูโฆษณาให้ลูกค้า แล้วพอตัวเราไปโดนกับตัดต่อปุ๊บ เราก็เห็นเป็นภาพที่ต่อกันเป็นเรื่องราว แล้วก็พูดกับน้องตัดต่อคนนั้นว่า ที่บ้านมีต้นวาสนาเหรอ ต้นสูงดีนะ นี่เพิ่งเปลี่ยนรถมาเหรอ น้องก็ตกใจว่า พี่ต๊อกแต๊ก ดูดวงผมรึเปล่าเนี่ย เราก็เลยมีสติขึ้นมา แล้วก็เก็บเซ้นส์นั้นมา หลังจากนั้นก็มีรุ่นพี่ที่เป็นร่างทรง ก็แนะนำต๊อกแต๊กว่า ถ้าไม่อยากเป็นร่างทรงก็ให้ไปขอกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือ ซึ่งตอนนั้น เรานับถือพระแม่อุมา ที่วัดแขก ซึ่งเป็นองค์เดียวที่นับถือในตอนนั้น แล้วเราก็ขอองค์แม่ว่า ขอให้ลูกได้เป็นผู้หญิงเหมือนองค์แม่ จนกระทั่งช่วงอายุ 24 ปี ใกล้เบญจเพส ก็มีโอกาสได้เป็นพรีเซ็นเตอร์โรงพยาบาลศัลยกรรมขึ้นชื่อของไทย ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้เป็นคนดัง เป็นแค่กะเทยคนนึงที่มีนักข่าวมาสัมภาษณ์ความรู้สึกและความต้องการศัลยกรรมของเรา แล้วเราก็บอกว่าอยากจะแปลงเพศที่โรงพยาบาลนี้ แล้วปรากฏว่าได้แปลงเพศฟรี ในปี 2552 เราเลยรู้สึกว่านี่เป็นพรของพระแม่ เพราะตอนนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะได้แปลงเพศ เราเป็นแค่กะเทยบ้านนอกที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพ เงินเดือน 8,000 บาท จะไปหาเงินจากไหนมาแปลงเพศต๊อกแต๊ก A4 กับเซ้นส์ที่มีติดตัวมาตั้งแต่เด็ก“เรื่องของเซ้นส์จริง ๆ แล้วมันมีมาตั้งแต่เราเป็นเด็ก เราก็จะเห็นว่าบ้านหลังนี้ดูเค้ามีปัญหาครอบครัวนะ ซึ่งคนรอบตัวเราก็จะงงว่า ต๊อกแต๊ก อยู่ดี ๆ ทำไมถึงทักแบบนี้ แล้วเซ้นส์นี้มันก็หายไปตอน ต๊อกแต๊ก เรียนมหาวิทยาลัย แล้วก็กลับมาอีกทีตอนที่กลับมาทำงานแต่ก่อนเซ้นส์มันมาหนักมาก จนรู้สึกว่าบางเรื่องเราขอไม่เห็น แต่เราปิดระบบไม่ได้ บางทีเราไปนอนสระผมที่ร้าน เราก็เห็นเรื่องราวของคนที่มาสระผมให้ หรือบางทีเวลามีคนมาดูดวงกับเรา เราก็เห็นว่ามีคนเดินตามเค้ามา จนกระทั่งวันหนึ่งอาจจะเป็นความแก่กล้าของเรา เราเริ่มควบคุมเซ้นส์ได้ อะไรที่ไม่อยากรับรู้เราก็ตัดไปเลย ไม่สนใจมันไปเลยเคยมีแม่ลูกมาดูดวงกับต๊อก ซึ่งลูกของเค้าเกิดมาแล้วเป็นมะเร็งเลย ตอนนั้น ต๊อกแต๊ก ยังไม่เคยรู้จักท้าวหิรัญพนาสูร แต่อยู่ดี ๆ ตอนนั้น เราก็รู้สึกว่าเคสนี้ต้องไปกราบท้าวหิรัญพนาสูรนะ แล้วไปเข้าคอร์สรักษา ซึ่งพอเค้าไปทำตามลูกเค้าก็หายจริง ๆ พอดูดวงมาเยอะ ๆ เราก็เรียนรู้ว่าทุกคนต้องเผชิญกรรมของตัวเอง ทุกอย่างมันอยู่ที่บุญและกรรมของเรา ซึ่ง ต๊อกแต๊ก ก็ไม่ได้อยากจะมาเป็นหมอดูหรอก แต่ในเมื่อวันนี้ ถ้าเส้นทางของ ต๊อกแต๊ก มันโดนขีดมาแล้วว่าต้องเป็นหมอดู ดังนั้น ต๊อกแต๊ก ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ไปเอาเปรียบคนอื่น เราต้องพูดตามที่เราเห็น ตามเซ้นส์ที่เราสัมผัสได้ ต๊อกแต๊ก ก็เลยทำแบบนั้นมาโดยตลอด 17 ปีค่ะ”เช็คดวงหลังสงกรานต์ 2567 ราศีไหนปัง ราศีไหนต้องระวัง!“ราศีที่ต้องระวังเป็นพิเศษ จะมี ราศีสิงห์ และ ราศีธนู ที่อาจจะต้องระมัดระวังหน่อย และอาจจะเหนื่อยหน่อยในปีนี้ ราศีเมถุน ปีนี้ก็จะเจอปัญหาหรือเจออะไรที่มันยาก อย่างถ้าน้อง ๆ ที่เรียนหนังสืออยู่ หรือทำงานอยู่ หรือที่ต้องฝ่าฝัน หรือต้องสอบแข่งขัน อาจจะยากหน่อย ส่วนราศีที่โดดเด่นและเฮง ในปีนี้ก็จะมี ราศีกุมภ์ ราศีพฤษภ ราศีพิจิก ราศีกันย์ และราศีตุลย์จะโดดเด่นในเรื่องโดยรวมทั้งงาน ทั้งเงิน มีโอกาสใหม่ ๆ เกิดขึ้น ใครที่มองในเรื่องของการลงทุนอยู่ ราศีราศีเหล่านี้ก็ถือว่าเป็นราศีที่โดดเด่นเลยค่ะโดยวิธีการนับราศีของ ต๊อกแต๊ก จะนับง่ายมากคือวันที่ 16-15 อย่างเช่น 16 มิถุนายน จนถึง 15 กรกฎาคม คือราศีเมถุน แบบนี้ค่ะ แต่ก็จะมีหลาย ๆ ท่านที่เค้าดูตามลัคนา”เปิดความหมายตัวเลขท้ายบัตรประจำตัวประชาชน จาก ต๊อกแต๊ก A4“ต้องบอกว่าเลข 3 ตัวท้ายบัตรประชาชนของเรา เลขที่ดี เลขที่เฮง เลขที่ฆ่าไม่ตาย ส่วนใหญ่จะต้องมี เลข 1 เลข 5 และ เลข 9เลข 1 เกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คนตรงไปตรงมา มีความมั่นคง แบบสิ่งศักดิ์สิทธิ์อวยพร มีแต้มบุญเก่ามาดี และอาจจะมีโลกส่วนตัวสูงหน่อยเลข 2 เป็นเลขของความเหนื่อย ความอดทน ความพยายาม ถ้าต้องเลือกลูกน้องสักคน เลขบัตรประชาชนของเค้าควรจะมีเลข 2 หรือเกิดวันที่ 20 วันที่ 2 เพราะเลข 2 มันเป็นเลขของความพยายาม ความอดทน เป็นคนขยัน ถึงแม้จะเหนื่อยหน่อย แต่ว่ามันก็มีโอกาสประสบความสำเร็จ แต่เลข 2 ไม่ควรที่จะไปหุ้นกับคนอื่นเลข 3 ไอเดีย ความคิด แต่บางครั้งก็คิดมากเกินไป อย่างถ้าเลข 3 ไปอยู่กับวันจันทร์ พุธ ศุกร์ จะเป็นคนอีโมชั่นนอลเยอะ เพราะ เลข 3 คือความวิตกกังวลได้ง่าย เป็นคนคิดมากเลข 4 จะมีผลเรื่องของความรัก คือความรักที่ไม่สมบูรณ์แบบ รักเพศเดียวกัน รักคนต่างประเทศ รักพ่อแม่แม่หม้าย ต้องแต่งงาน 2 รอบ หรือรักซ้อนซ่อนรัก เลข 4 ถ้าเราโสด หรืออยากแต่งงานกับคนเลขนี้ วิธีการแก้ก็คือจัดงานแต่งงานได้แต่ไม่ต้องจดทะเบียน หรือบางคนจดทะเบียนแล้วจดทะเบียนหย่าแล้วจดทะเบียนใหม่ หรือบางคนก็แยกห้องนอน หรืออาจจะใช้เตียง 2 เตียงติดกันก็ได้ และเลข 4 เป็นเลข LGBTQ+ ได้ด้วย คนที่เป็น LGBTQ+ ส่วนใหญ่จะมีเลข 4 ในชีวิตเลข 5 คือเลขเงินเลข อำนาจ วาสนา คล้ายกับเลข 1 ตรงที่ว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองเลข 6 จะมีความเป็นตัวเองคือเหมาะกับการทำอะไรเป็นของตัวเอง ธุรกิจของตัวเอง หรือเป็นนายตัวเอง บางทีก็จะโลกส่วนตัวสูงหน่อยเลข 7 เลขเกี่ยวกับต่างประเทศ ชาวต่างชาติ อะไรที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศจะดีเลข 8 เป็นเลขดารา เป็นเลขที่ต้องใช้ปากทำมาหากิน เช่น พ่อค้า แม่ค้า นักร้อง พีอาร์ เซลล์ขายของ อาชีพที่ต้องใช้ปากทำมาหากินทั้งหลายเลข 9 ก็คือความมั่นคงในชีวิต เป็นอีกเลขนึงที่เป็นเกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็จะเป็นเลขที่ค่อนข้างที่จะมีความมั่นคง แต่บางครั้งมันก็จะทำให้เราเป็นคนที่ตรงหรือโลกส่วนตัวสูงมากเหมือนกันเลข 0 สำหรับต๊อกแต๊กจะไม่นับ ยกเว้นว่าคนที่มีเลข 0 0 0 (ในตำแหน่ง 3 ตัวท้ายบัตรประชาชน) ให้ดูเป็นเลขตัวแรกก่อนที่จะเป็นเลข 0 แทน”ประสบการณ์ดูดวง ของ ต๊อกแต๊ก A4“ต๊อกแต๊ก ไม่ดูดวงตัวเอง เพราะไม่ว่ามันจะเป็นกลางขนาดไหน เราก็อดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ และกับญาติพี่น้องหรือกับคนสนิทก็จะดูดวงให้ไม่ได้เหมือนกัน แต่มีเหตุการณ์ที่เป็นเรื่องของครอบครัวเลย คือ ต๊อกแต๊ก ฝันว่าคุณตาลื่นล้ม แล้วมีวิญญาณมาดึงคุณตา พอตื่นเช้ามา ต๊อกแต๊ก ก็โทรหาคุณแม่ว่าคุณตาอยู่ไหม แม่ก็บอกว่าคุณตาล้ม เราก็เลยตกใจ เพราะรู้ว่าล้มรอบนี้หนักแน่ แต่แม่ก็บอกว่าไม่หนักนะ กลับมาอยู่บ้านแล้ว แล้วแม่ก็ถามว่าทำไมต๊อกแต๊กถึงรู้ เราก็เล่าเรื่องความฝันที่ฝันถึงคุณตาให้แม่ฟังอีกเหตุการณ์หนึ่งคือ ที่บ้านของต๊อกแต๊ก จะมีรถสีส้ม เป็นรถสองแถวคันใหญ่ แล้ววันหนึ่ง ต๊อกแต๊ก ก็ฝันว่า รถคันนี้ไปขนอะไรมา แล้ว ต๊อกแต๊ก ก็ขับมอเตอร์ไซค์อยู่ข้างหน้า แล้วรถคันนี้ขับตาม แล้วเหมือนหลังรถขนไม้หรือขนบางสิ่งอยู่ข้างหลัง แล้วภาพก็ตัดไปเป็นภาพบ้าน แล้ว ต๊อกแต๊ก ก็เดินเข้าไปในบ้าน พอตื่นเช้ามา ต๊อกแต๊ก ก็โทรไปถามแม่ว่า แม่เอารถไปขนอะไรมารึเปล่า แม่บอกว่าเอาไปขนบ้านร้างที่มีคนเสียชีวิตจากจังหวัดอื่นมา ซึ่งกับครอบครัวส่วนมากเซ้นส์จะมาในแบบความฝัน ถ้าฝันแล้วจะค่อนข้างแม่นแต่ก่อน ต๊อกแต๊ก จะใช้แค่กระดาษ A4 แล้วก็ดูดวงดวงตามเซ้นส์ หลัง ๆ มันต้องมีตัวช่วยอื่น ๆ อย่างเช่นให้จับไพ่ซิ แล้วเราก็อ่านตามไพ่ หรืออย่างตอนดูดวงให้ แซมมี่ เราก็ให้ไปหยิบใบไม้มา เด็ดมาแล้วอธิษฐานจิต แล้วเราก็ทักตามที่เห็นจากใบไม้ และเวลาคนมาดูดวง เราก็ต้องขออนุญาตเค้า และเค้าต้องอนุญาตให้เราดูดวง เราถึงจะดูดวงให้ได้ค่ะ”ต้องดูดวงอย่างไร ให้จากลบ กลายเป็นบวก“ต๊อกแต๊ก จะเป็นคนที่คำนึงว่า ถ้าเป็นเราไปดูดวงแล้วมีคนพูดกับเราแรงๆ เราก็คงไม่ชอบ เราก็เลยต้องพยายามคิดก่อนว่า เราจะทำยังให้จากที่มันจะเป็นลบให้กลายเป็นบวก อย่างเช่นเรารู้ว่าเค้าจะมีเกณฑ์เกิดอุบัติเหตุแบบหนัก ๆ เราก็จะบอกว่าช่วงนี้ขับรถให้ระมัดระวัง หรือถ้าออกกำลังกายก็ให้ระมัดระวังเพราะว่ามีเกณฑ์เกิดอุบัติเหตุอยู่ ลองไปบริจาคเลือด ไปเอาเลือดออกหน่อย ไปทำฟัน หรือไปจิ้มหน้า ให้ตัวเองมีเลือดออก หรือไปบริจาคโรงศพ แล้วอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวร หรือบางทีอย่างสุขภาพของคุณพ่อคุณแม่ของเค้า มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เราก็ต้องบอกว่า ช่วงนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องระวังนะคะ โดยเฉพาะคุณแม่มีเกณฑ์เจ็บป่วย แต่ ต๊อกแต๊ก คิดว่ามันน่าจะเป็นไปตามวัย อาจจะพาเค้าไปเช็คร่างกายหน่อย เหมือนเป็นการฟาดเคราะห์ พอพูดแบบนี้ลูกของเค้าก็จะพาไปตรวจร่างกายหน่อย พาไปฟาดเคราะห์หน่อย เพราะคนแก่ส่วนใหญ่ พอคนอื่นทักมักไม่ฟัง แต่พอบอกหมอดูทักกลับเชื่อ”การดูดวง ที่มาพร้อมการเก็บสถิติ“ต๊อกแต๊ก ชอบในเรื่องของการเก็บข้อมูล เพราะแต่ก่อนคนมาดูดวง จะต้องบอกชื่อ วัน เดือน ปี เกิด อายุ เราจะรู้เลยว่าคนที่มาดูดวงกับเรา 10 คน อายุอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ แล้วอาชีพที่มาดูดวงกับเราเยอะที่สุดคือ เซลล์ ลูกเรือ นักการตลาด หมอ และอาจารย์มหาวิทยาลัย โดยคนที่มาดูดวงอายุต่ำสุดอยู่ที่ 25-26 ปี เป็น First Jobber และอายุที่เยอะที่สุด ก็ประมาณ 35 ปี จึงกลายเป็นที่มาว่า ทำไมดวงรายปักษ์ ของ หมอดูต๊อกแต๊ก A4 ถึงมีเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องสุขภาพ เรื่องความรัก เรื่องศีลสมดุลย์ และเรื่องการทำบุญ ซึ่งตอนเริ่มสื่อโซเชียลยังไม่มาเลย แล้วพอมันเริ่มมีโซเชียล ต๊อกแต๊ก ก็เริ่มมาเขียนดวง เขียนในโน้ตโทรศัพท์ แล้วก็แคปเอามาลง กลายเป็นว่ามีคนติดตามเยอะเวลาดูดวง คนชอบถามเรื่องงานก่อน แล้วจะมีเงินไหม ความรักเป็นยังไง แล้วถึงถามเรื่องสุขภาพ จริง ๆ แล้ว ต๊อกแต๊ก มองว่า สุขภาพสำคัญที่สุดในชีวิตคนเรา แต่คนจะเอาสุขภาพไว้ที่หลัง ต่อให้เรามีเงินขนาดไหน แต่ถ้าสุขภาพเราไม่ดี เงินของเราก็จะหมดไปกับสุขภาพ เราจะไม่มีเวลาใช้เงิน แต่ถ้าเราสุขภาพดี แล้วเรามีแรงในการทำมาหาเงิน ต๊อกแต๊ก ว่าอันนี้สำคัญมาก”เปิดทริค มูความรักอย่างไรให้ปัง!“ถ้าเอาในพาร์ทของหมอดูก่อน ต๊อกแต๊ก ก็จะบอกว่า ถ้าเรามีเลข 4 ในดวง ซึ่งส่วนมากจะอาภัพรัก เราก็ไม่ต้องกลัว สำหรับ ต๊อกแต๊ก คิดว่าเผชิญกับมันไปเลย อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดเราห้ามกันไม่ได้ แต่เราต้องมีสติแล้วก็รับมือมันให้ได้ ดังนั้นถ้าเรารู้เร็วว่ามีเลข 4 ก็ให้ไปแก้เคล็ดก่อน ซึ่งมันมีวิธีการแก้เคล็ดก็จริง แต่มันไม่ได้บอกว่าจะสำเร็จแบบ 100% บางคนแก้แล้ว แต่ก็ยังเลิกอยู่ดี แต่ ต๊อกแต๊ก ก็จะให้วิธีการสำหรับคนที่มีเลข 4 แล้วมีคู่ยาก ก็ลองไปขอถอนคำสาบานที่ ร.5 เสร็จปุ๊บก็ไปไหว้พระนอน เพื่อขอถอนคำสาบาน คำสาปแช่ง คำสัญญา ที่เราเคยมีชาติที่แล้ว และเราขออนุญาตมีคู่ในชาตินี้ จากนั้นเราค่อยไปขอเทพองค์อื่น พระแม่ลักษมี พระแม่อุมา แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เรายังไม่ไปถอนคำสาบาน ไปขอยังไงก็ไม่ได้ เพราะว่าเรามีคนที่ห่วงเราอยู่ส่วนอีกพาร์ทที่ไม่ได้เป็นหมอดู ต๊อกแต๊ก มองว่าการที่จะมีความรัก มันคือแต้มบุญของเราส่วนนึง แล้วก็การวางตัวของเราแต่ละคน มันต้องมาพร้อม ๆ กันคือ การมูเตลู การออกไปหา การไปเจอ การไปเรียนรู้ และบางครั้งเราอาจจะพลาดคนดี ๆ ไปก็ได้ ถ้าเรามองเห็นเค้าภายนอก แล้วเรารู้สึกว่าไม่ใช่ ต้มยำ 2 ถ้วย รสชาติยังไม่เหมือนกันเลย ถ้าไม่ลองชิมก่อน เราจะรู้ได้ยังไงว่ามันเปรี้ยวไป เค็มไป หรือหวานไป เราต้องลองชิมดูก่อน”เปิดหัวใจ ส่องความรักของ ต๊อกแต๊ก A4“ก่อนจะมีความรักที่ดี ต๊อกแต๊ก เคยโดนพระที่เป็นเกจิที่ตัวเองนับถือมาก ๆ ท่านทักว่า ต๊อกแต๊ก ต้องผิดหวังกับความรักทั้งหมด 11 ครั้ง พอรู้เราก็ตกใจนะ แต่ก็ตัดสินใจเผชิญกับมัน เราทุ่มเทกับความรักทุกครั้ง เราใส่ใจคนรัก เราให้เกียรติ เราเต็มที่ในพาร์ทของความรัก แต่เมื่อไหร่ที่มันไปต่อไม่ได้ เราต้องรู้จักที่จะยอมรับมันแล้วก็มูฟออน ทุกวันนี้ก็กลายเป็นเพื่อนกัน ครั้งหนึ่งเราเคยรักเค้า เค้าก็เคยรักเราเรื่องมูเตลู ต๊อกแต๊ก ไปขอกับ ร.5 ที่ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ไปกับ คุณนิว นภัสสร ตอนนั้น คุณนิว ยังไม่มีลูกเลย ก็ไปกราบขอพรหลวงพ่อสมเด็จวัดโพธิ์ แล้วนิวก็บอกว่าพานดอกไม้เหลือ ไปไหว้เสด็จพ่อ ร.5 ไหม ก็เลยไปไหว้กัน หลังจากนั้นคนก่อนหน้านี้ก็เข้ามาในชีวิต เราก็คิดว่านี่คงเป็นคนที่เรารอคอยมานาน แต่กลับกลายเป็นว่ามันไม่รอด แล้ววันที่เลิกกัน ก็คือวันที่ไปกราบศพสมเด็จะพระสังฆราชที่วัดนี้พอดี เราก็ไปกราบ ร.5 ด้วยกัน แล้วก็บอกเลิกกันวันนั้น เราเลิกกันด้วยดีเพราะเรารู้สึกว่ามันไปต่อไม่ได้ เรารู้สึกว่าท่านให้เราสองคนมาชดใช้กรรมให้มันหมดเพื่อที่จะให้เราเจอคนใหม่ ซึ่งแฟนคนปัจจุบันเราก็ไปขอพระแม่อุมา ที่วัดแขก ก็ได้ความรักครั้งนี้มากับ คุณตั๊ก เรารู้จักกันมาประมาณ 6 ปี แต่ว่าเพิ่งมาคบกันเมื่อปีที่แล้ว เพราะว่าก่อนหน้านี้ ต๊อกแต๊ก ก็มีความรักมาก่อน แต่ไม่ได้สมหวัง กับคนนี้ เราเพิ่งคบกันเมื่อตอน สิงหาคม 2566 รู้จักกันเพราะว่าเค้ากับรุ่นน้องของเรารู้จักกัน แล้วรุ่นน้องก็เป็นคนพาเค้ามาดูดวงกับเรา ตอนนั้นเค้าเพิ่งย้ายมาจากอเมริกา แล้วจะมาอยู่มาเลเซีย เค้าก็เลยมาดูดวง ซึ่งตอนนั้นยังไม่สนใจกันเพราะต่างคนต่างมีแฟน แต่เค้าก็ติดตาม Instagram เรา แล้วก็ทักมาบ้าง จึงได้เริ่มได้พูดคุยกัน แต่พอคุยกันไปสักพักมันก็มีเหตุให้เราต้องหยุดการคุยกันไป ต่างคนต่างใช้ชีวิต แต่ว่าเค้าก็ไม่เคยหายไปแบบ 100% เค้าก็ยังมีไปทำบุญตรงนี้นะเอาบุญมาฝาก แล้วก็ให้กำลังใจกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน หรือเรื่องความรัก แต่ในวันที่มาคบกัน มันเหมือนพอรู้จักกันมาแล้วแล้วเราอายุเท่า ๆ กัน เลยได้คุยกันแบบผู้ใหญ่ และเราสองคนจะต้องไม่เป็นภาระของกันและกัน เค้าก็บอกโอเคเพราะเค้าก็อยากจะกลับมาดูแลคุณพ่อคุณแม่ มาดูแลกิจการที่บ้าน มาทำธุรกิจของเค้า แล้วเราก็ต่างคนต่างซัพพอร์ทกันไป กลายเป็นความรักที่ดีค่ะตอนนี้”ต๊อกแต๊ก A4 กับการผลักดัน พ.ร.บ. #สมรสเท่าเทียม“ก่อนหน้านี้ มันก็จะมีร่างของหลาย ๆ พรรคการเมือง แต่ก็จะมีอุปสรรคในเรื่องของการเข้าไปในสภาแล้วมันโดนตีตก ซึ่งพวกเราก็สู้กันมาโดยตลอด แต่พอ ต๊อกแต๊ก ได้มีโอกาสเข้าไปนั่งเป็นนักวิชาการประจำกรรมาธิการเด็กเยาวชนสตรีผู้สูงอายุผู้พิการกลุ่มชาติพันธุ์และผู้มีความหลากหลายทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร มันก็มีเรื่องของเจนเดอร์ ในเรื่องของการสมรสขึ้นมา ซึ่ง ต๊อกแต๊ก เป็นคนกดไมค์แล้วพูดว่า จริง ๆ เป็นประเทศที่เปิดกว้างมากเลยสำหรับ LGBTQ+ แต่ว่าเปิดกว้างในด้านของพฤตินัย แต่ด้านนิตินัยยังไม่ได้เปิดรับ ข้อที่สองคือ มีงานวิจัยที่เราเก็บข้อมูลมาเยอะมากว่า กลุ่ม LGBTQ+ ที่ต่างประเทศเค้าอยากจะมาเที่ยวประเทศไทย ติด Top 5 ของโลก และ LGBTQ+ มีพฤติกรรมผู้บริโภคคือเป็นคนที่มีกำลังซื้อกำลังจ่าย ต๊อกแต๊ก มองว่า ถ้ากฎหมายบ้านเรามันผลักดันกัน หรือมันมีการปรับเปลี่ยน มันมีการสมรสเท่าเทียม หรือในเรื่องคำนำหน้า มันจะทำให้เม็ดเงินเข้าประเทศชาติเราได้ แล้วเราทำแคมเปญสื่อสารออกไปให้ต่างชาติได้รับรู้ว่าประเทศไทยมีกฎหมายรองรับ ไม่บูลลี่ ไม่เหยียดหยาม ไม่อันตราย ไม่ทำร้ายกลุ่ม LGBTQ+ ต๊อกแต๊ก เชื่อว่าต่างชาติเค้ามาประเทศไทยแน่นอนแล้วที่ผ่านมา ต๊อกแต๊ก ก็ยอมรับในฐานะ LGBTQ+ คนหนึ่ง เวลาที่เราไปพูดเรื่องกฎหมาย หรือเราจะผลักดันอะไรก็แล้วแต่ เราไม่เคยไปพูดในมุมการเปลี่ยนให้เกิดภาพใหญ่ในประเทศ เราจะไปพูดในมุมของเรา เช่น ฉันใช้สวัสดิการของแฟนไม่ได้ ฉันไปต่างประเทศแล้วโดน ตม.จับ ครอบครัวไม่ยอมรับ แต่ในวันที่ ต๊อกแต๊ก พูด เราพูดในมุมของที่ว่า ปัจจุบันนี้การแพทย์มันไปไกลมาก ทรานส์เจนเดอร์ก็สวยมากขึ้น และ ต๊อกแต๊ก เก็บข่าวเยอะมาก ต๊อกบอกเลยว่าปัจจุบันนี้ชายจริงหญิงแท้แต่งงานเป็นสามีภรรยากันถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าวันหนึ่งสามีนอกใจภรรยาไปเป็นชู้กันกับทรานส์เจนเดอร์ แต่กฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1148 มันระบุแค่ว่า ชายใดนอกใจภรรยาไปเป็นชู้สาวกับหญิงอื่น ดังนั้นกรณีข้างต้นไม่สามารถเอาผิดทรานส์เจนเดอร์ได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เปลี่ยนกฎเป็น บุคคลใดบุคคลหนึ่งนอกใจคู่สมรส ไปมีชู้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง คุณเอาผิดได้เลย เพราะว่าไม่ว่าเพศไหนก็แล้วแต่ นอกใจคือนอกใจ อันนี้คือคุณเอาผิดได้ พอพูดเรื่องนี้ทุกเพศเข้าใจ มันก็เลยกลายเป็นภาพใหญ่ และ ต๊อกแต๊ก ได้เรียนรู้ว่า เวลาเราจะพูดอะไรก็แล้วแต่ มันต้องเกิดผลได้หรือผลเสีย หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงกับภาพใหญ่ มันถึงจะเกิดการผลักดัน ดังนั้น ณ ตอนนี้ สมรสเท่าเทียม ต๊อกแต๊ก กล้าพูดได้เลยว่าผ่านแน่นอน เพราะเค้าทำอย่างประณีต แล้วเค้ามีภาคประชาชน ต้องขอบคุณมากเลยนะคะ ภาคประชาชนก็มาช่วยกันเต็มที่มาก ภาคของสภาผู้แทนราษฎร ตอนนี้ไปอยู่ที่สมาชิกวุฒิสภา ซึ่งมันเหลืออีกวาระเดียวก็จะบรรจุเป็นบังคับใช้แล้ว”สีสัน แรงบันดาลใจ จาก ต๊อกแต๊ก A4“อยากจะฝากน้อง ๆ ที่เป็นหมอดู และคนที่ฟังหมอดูต๊อกแต๊กอยู่ว่า การที่เราให้เกียรติซึ่งกันและกันสำคัญที่สุดเลย นอกจากนี้เราต้องเชื่อมั่น และซื่อสัตย์กับจรรยาบรรณ และวิชาชีพของตัวเอง คนเราเกิดมามีเซ้นส์ได้ เป็นหมอดูได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำงานก็ให้มันพอดีแบบสุจริต คนที่ไปดูดวงก็เหมือนกัน ควรมีสติในทุกอย่าง อย่าไปเชื่ออะไรง่ายเกินไป บางทีอาจจะโดนหลอกได้ ที่เราบอกว่า หมอดูคู่กับหมอเดา แม่หมอก็อยากจะบอกทุกคนว่า ไม่มีใครตอบได้ว่าเราดูดวงแม่นหรือไม่แม่น แต่คนที่ดูดวงไปแล้ว ถึงจะตอบได้ว่ามันใช่หรือมันไม่ใช่ ดังนั้นฟังหมอดูเป็นไกด์ไลน์ชีวิตดีกว่าค่ะ” – ต๊อกแต๊ก A4พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

12 เม.ย. 2024

เปิดจุดเปลี่ยนชีวิตที่กลับมารักตัวเองได้ทัน ของ “พั้มกิ้น หิ้วหวี” จากช่างทำผมสุดจึ้ง กับตำนานสุดสะพรึงกินจนแพ้กุ้ง

“หนูภูมิใจตัวเองที่ เอาตัวเองออกมาจากอบายมุขต่าง ๆ ได้ ขอบคุณตัวเองมากที่กลับมารักตัวเองได้ทันเวลาก่อนที่มันจะสายไปมากกว่านี้”ยังคงเป็น Club ที่รวมสีสันของชีวิต พร้อมแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลในในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่ตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญตัวแม่ “พั้มกิ้น หิ้วหวี” จากช่างทำผมสุดจึ้ง สู่ตัวตึงแห่งแก๊งหิ้วหวี ผู้สร้างตำนานสุดสะพรึงกินจนแพ้กุ้ง! กว่าจะมาถึงวันนี้ เธอผ่านมาหลากหลายบททดสอบของชีวิต และมีหลากหลายข้อคิดแรงบันดาลใจ ที่ พั้มกิ้น ได้แชร์ไว้ในรายการด้วยพั้มกิ้น ชื่อนี้ได้แต่ใดมา“รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยตั้งให้ค่ะ ตอนนั้นเรื่อง เกอิชา ดังมาก บวกกับตอนนั้นหนูชอบดื่มแอลกอฮอล์มาก รุ่นพี่ก็เลยตั้งชื่อให้เราว่า พั้มกิ้น ซึ่งชื่อจริง ๆ ของหนูคือ มอส เพราะแม่ชอบ พี่มอส ปฏิภาณ มาก ๆ ตอนนั้นเหมือนแม่จะดูจักรยานสีแดงมากเกิน หนูก็เลยได้ชื่อมอสแล้วหนูก็มีรายการชื่อว่า พั้มกิน ด้วยนะคะ เป็นรายการที่หนูพาไปกินของที่มันน่ากินจริง ๆ ที่กินอันแรกเลยก็คือกินข้าวขาหมู ตาม พี่มาวิน แล้วหนูกินทั้งขาเลย คนถ่ายบอกว่าไม่ได้นะ เธอจะต้องเข้าโรงพยาบาลเลยนะหลังจากกินเสร็จ เธอต้องหยุดกินได้แล้ว แต่หนูก็กินต่อ คลิปนั้นลงวันแรกคนดูล้านคนเลย หนูเลยรู้สึกว่านี่แหละคือสิ่งที่เราทำแล้วประสบความสำเร็จ”กางเกงเอวสูง เอกลักษณสุดจึ้ง ของ พั้มกิ้น หิ้วหวี“หนูชอบใส่กางเกงเอวสูงมาก เน้นแฟชั่นไปเลย เป็นกางเกงจากร้านของรุ่นพี่ เค้าส่งมาให้ใส่ เราก็ใส่เพลิน ๆ หนูเป็นคนที่ถ้าชอบอะไรหนูจะใส่ยาว ๆ ใส่จนคนแซว มันก็เลยเป็นไวรัล ตอนนี้มี 21 ตัว แบบนี้สีนี้เลย หนูจะเอาออกมาใส่ทีละ 10 ตัวแล้วซัก มีคนถามหนูเยอะมากว่าซื้อที่ไหน หนูไม่บอกค่ะ กลัวมันหมด หนูไม่รู้ว่าหนูเอวเท่าไหร่ แต่ว่าหนูใส่กางเกงไซส์ 52 ครั้งแรกที่ใส่ มันจะหายใจไม่ออกหน่อย แต่พอใส่ไปสักพักมันจะเข้าทรงสวย และเพื่อความสวยเราทนได้”ตำนานสุดสะพรึง กินจนแพ้กุ้ง!“ในรายการหนูกินเยอะมาก กินหมูกระทะ กินอาหารตามสั่ง ที่มันน่ากิน แต่ที่หนักสุดคือ หนูแพ้กุ้งแบบขั้นวิกฤต มันเพิ่งจะมาแพ้ตอนที่เริ่มมีชื่อเสียง มีเงินมีทองแล้ว เมื่อก่อนหนูจนมาก หนูก็เก็บเงินแล้วคุยกับ เอแคลร์ ว่าอาทิตย์นี้เรามียอด ไปหาร้านบุฟเฟต์กุ้งกินกันเถอะ แล้วก็ไปกันเมื่อก่อนหนูชอบกินกุ้งมาก หนูกินกุ้งได้ 4-5 กิโลกรัมเลย พอเริ่มมีงานมีชื่อเสียง มีเงินก็ไปซื้อกุ้งกิน จนแพ้แบบตาบวม แล้วก็หายใจไม่ได้ ก็เลยโทรหา พี่มิกซ์ เฉลิมศรี พอโทรติดสิ่งแรกที่เค้าทำคือนั่งหัวเราะประมาณ 2 นาที ซึ่งหนูหายใจไม่ออกนะ แล้วพี่มิกซ์ก็อัดคลิปลงโซเชียล แล้วกลายเป็นไวรัล ทำให้คนรู้จักหนูเยอะขึ้นเพราะคลิปนั้น พอหัวเราะกันเสร็จก็ไปหาหมอ ไปฉีดยา แล้วคุณหมอบอกว่าแพ้กุ้งแล้วนะแต่หนูก็ยังกินกุ้งค่ะ ตอนนั้นหนูพยายามต่อสู้กับมันมาโดยตลอด คือจะมียาแก้แพ้พกไว้เลย มื้อไหนเราทำงานมาเหนื่อยมาก ก็จะขอกินกุ้งสักวันนึง ปรากฏว่าก็แพ้ค่ะ หลัง ๆ หนูกินเป็นกิโลกรัมไม่ได้แล้ว กินได้แค่ตัวเดียว แล้วก็แพ้มาตลอด ปากบวมมาตลอด หลังจากกินกุ้งก็ต้องกินยาค่ะหนูทำ IF ค่ะ คือหนูกิน 20 หยุด 4 หนูนอนทานได้เลย หนูสามารถหลับ ๆ อยู่ แล้วฝันว่าหิวมาก พอตี 2 หนูตื่นหนูก็กดสั่งข้าวเลย ซึ่งในยุคสมัยนี้มันง่ายด้วย เราก็กินแบบปล่อยใจไปเลย หนูเข้าใจแฟนคลับที่คอยเป็นห่วงและเตือนหนูตลอด แต่ว่าหนูเคยทุกข์มาแล้ว ช่วงนี้หนูขอมีความสุขก่อน แล้วหนูมีความสุขกับการกินมาก”ย้อนวันวาน กับความเป็นตัวเอง ที่ต้องถูกปิดกั้น“เมื่อก่อนที่บ้านค่อนข้างจะเซนซิทีฟเรื่องการเป็น LGBTQ+ แล้วเค้าก็พยายามจะปิดกั้นทุกอย่าง เค้าห้ามเราหลาย ๆ อย่าง ไม่ให้ไปเล่นกับผู้หญิง ส่งเราไปเรียนโรงเรียนชายล้วน ตอนแรกหนูอึดอัด ครั้งแรกที่ไปเรียน คือ โรงเรียนปทุมคงคา ซึ่งพอเข้าไปเรียนหนูก็รู้ว่ามันไม่ได้โหดร้ายอย่างที่เราคิด แล้วได้เจอเพื่อนที่เป็นเหมือนเราประมาณเกือบร้อยคน จนรู้สึกว่าตรงนี้แหละคือความสุขของเรา เราอยากจะมาโรงเรียนทุกวัน ไม่อยากอยู่บ้านแล้วหนูพยายามจะเป็นเชียร์ลีดเดอร์ แล้วที่โรงเรียนมีกิจกรรมเยอะ วันภาษาไทย วันวาเลนไทน์ หนูก็จะแต่งหญิง พอคุณป้ารู้ก็เห็นว่าไม่ได้การแล้วต้องย้ายออก ก็เลยพาหนูมาเรียนที่ วิทยาลัยเทคโนโลยีดอนบอสโก เป็นโรงเรียนช่างไปเลย ตอนแรกหนูทำใจไม่ได้ แล้วหนูคือ LGBTQ+ คนเดียวในรุ่นและในโรงเรียน แต่หนูมองทุกอย่างให้เป็นมุมบวก มาที่นี่ฉันจะต้องเป็นดาว ฉันสวยที่สุดในโรงเรียน ฉันอยู่ได้ แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ โชคดีที่หนูได้เพื่อนที่ดี แล้วก็เข้ากับวัฒนธรรมของโรงเรียนช่างได้ง่าย หนูทำหมดทุกกิจกรรม รับรุ่น รับน้อง จนหนูกลายเป็นเจ๊ไปเลย ในเมื่อเราไปไหนไม่ได้แล้ว ก็ต้องปรับตัวเองให้มันเข้ากับสถานการณ์ จนที่แห่งนั้นกลายเป็นความสุขครั้งใหม่ของเราจริง ๆ หนูรู้ตัวเองตั้งแต่อนุบาลค่ะ ตอนนั้นจำได้ว่าเราเหมือนจะชอบผู้หญิงบ้าง เรามองว่าเค้าผมยาวจัง เค้าสวยจัง พอขึ้น ป.1 หนูเริ่มไม่ชอบแล้ว เริ่มจะชอบ พี่เคน ธีรเดช ชอบดูดาราชาย ว่าคนนี้น่ารักจังเลย ด้วยความที่เมื่อก่อนบ้านหนูอยู่การท่าเรือ ตรงกรมสรรพสามิต ที่บ้านก็จะมีความคิดที่ว่า การที่เราทำงานประจำ มันจะมีสวัสดิการต่าง ๆ ซึ่งหนูมองว่า หนูอยากจะออกมาเป็นฟรีแลนซ์มากกว่า อยากจะมาเป็นคนสอนเชียร์ลีดเดอร์ มันหาเงินได้นะ แต่เค้าไม่เข้าใจว่ามันหาเงินได้ยังไงพอที่บ้านเค้ากดดันเรา เราก็เลยต่อต้าน แปลกมากเลยหนูปรับกับที่อื่นได้ แต่ที่บ้านหนูไม่ปรับ เหมือนเรายิ่งโดนกด เราก็ยิ่งสู้ เหมือนที่เค้าบอกว่า คนเราจะใส่ใจคนรอบข้างน้อยกว่าคนไกล ๆ อย่างเวลามีการประกวดมิสทิฟฟานี่ หรือมิสยูนิเวิร์ส ที่บ้านก็จะจับเรามาขังไว้ในห้อง เพื่อที่จะไม่ให้ดู แต่ยิ่งขังเราก็ยิ่งสู้ ต่อสู้แบบมันอัตโนมัติเลยค่ะจนหนูเริ่มโตขึ้น หนูก็เริ่มต้องไปแล้ว หนูอยู่ที่บ้านไม่ได้ มันไม่มีทางที่จะมีความสุขได้เลย หนูเลยบอกแม่ว่า ขอออกไปอยู่เองนะแม่ ไม่ต้องห่วง แล้ววันแรกที่เราออกมาไม่มีเงินเลย แต่รู้สึกว่ามีความสุขมาก ไปอยู่หอกับเพื่อน เพื่อนบอกว่าไม่มีไม่เป็นไร อยู่ไปก่อนเดี๋ยวทำงานแล้วก็ค่อยมาช่วยกันจ่ายค่าห้อง จากนั้นหนูก็ไปสอนเชียร์ลีดเดอร์บ้าง ไปอยู่ร้านเช่าชุดบ้าง เริ่มรู้จักพี่ ๆ เริ่มรู้จักลู่ทางต่าง ๆ”ครั้งหนึ่ง บนเส้นทางนางงาม“หนูเคยประกวดนางงาม เป็นเวทีนางงามธิดาช้างต่าง ตอนนั้นหนูมีพี่เลี้ยง แล้วพี่เลี้ยงก็พาไปประกวด ซึ่งเราไม่ได้มองว่าเราสวย เราไปเรียกเสียงหัวเราะ เวทีแรกได้ที่ 2 แล้วก็ไปประกวดต่อที่ อนุสรณ์สถานดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี เวทีใหญ่มาก คนที่ประกวดมีประมาณ 50 คน ปรากฏว่า เวทีนั้นหนูได้ที่ 1 หนูดีใจมากที่ได้มง หลังจากนั้นหนูก็ไม่ประกวดแล้วเพราะว่าเหนื่อย เวทีคนอ้วนจะไม่ค่อยมีตอบคำถาม เวลาประกวดก็จะเน้นเดิน แล้วบนเวทีมันร้อน หนูต้องยืนบนส้นสูงนานมาก พอใส่รองเท้าแล้วต้องเอาสก็อตเทปพันไม่ให้มันหลุด ซึ่งมันเจ็บและทรมาน มันร้อนมาก เหงื่อท่วมเลย หนูก็เลยไม่ประกวดแล้วดีกว่า”ก้าวแรกสู่วงการบันเทิง“อาชีพแรกในวงการบันเทิงของหนูคือแต่งตัวให้ศิลปิน ได้เงินวันละพัน วันละห้าร้อย ตอนนั้นเราดีใจมากเลยที่ได้อยู่ในวงการบันเทิงแล้ว แต่หนูก็ไม่ได้ชอบตรงนั้น ก็เลยมาเป็นช่างทำผม หนูมองว่าหนูมีความสุขวันต่อวัน พอได้อยู่ในที่ที่เรารัก มันก็เลยมีความสุขไปเรื่อย ๆ การได้เงินพันบาท หนูถือว่าหนูรวยแล้ว ประสบความสำเร็จแล้ว หนูมีเงินซื้อข้าวกินด้วยแรงที่หนูเอาไปแลกมาด้วยตัวเอง นี่คือความสำเร็จที่สุดของหนูแล้วเดี๋ยวนี้เด็ก ๆ ชอบเสพสื่อ ก็จะเจอคอนเทนต์แบบฉันมีบ้าน 800 ล้าน หมา 10 ตัวอยู่หน้าบ้าน รถ 7-8 คันอยู่ในนั้น ซึ่งมันเกิดขึ้นได้กับบางคนเท่านั้น ไปเชื่อแบบนั้น 100% ไม่ได้ เราเอาแรงของเราทำงาน แลกเงินมาได้ 500 บาทก็ประสบความสำเร็จแล้ว มีเงินซื้อของที่เราอยากได้ด้วยตัวเอง นี่คือความสำเร็จที่สุดของคน ณ ปัจจุบันที่ต้องคิดให้ได้ พอมีรายได้หนูก็ส่งให้แม่ตลอด เพราะหนูรักแม่มาก น้อยบ้าง เยอะบ้าง งานไหนได้เงินเยอะก็จะพาแม่ไปกินข้าวบ้าง และหนูดีใจแล้วที่ได้พาแม่ไปกินข้าว”จุดเริ่มต้น บนเส้นทางช่างทำผม“ตอนนี้หนูเป็นช่างทำผมให้ศิลปิน หนูอยากจะเป็นช่างทำผมอันดับ 1 หนูไม่ได้เรียนทำผมค่ะ มันเริ่มจากตอนนั้นหนูไม่มีงานทำ ก็เลยมาเป็นผู้ช่วยช่างแต่งหน้าตามพี่ ๆ ไปทำงาน แล้วชอบไปนั่งดูพี่ ๆ ช่างทำผม มันตลบแบบนี้ ม้วนแบบนี้ มันสวยจังเลย จนพี่ ๆ ถามเราว่า จริง ๆ แล้วอยากทำอะไร หนูบอกว่าอยากเป็นช่างทำผม พี่ ๆ ในวงการก็สนับสนุนแล้วหาโอกาสให้หนูไปเป็นผู้ช่วยช่างทำผมคนแรกที่หนูทำผมให้คือ น้ำตาล ชลิตา ก็ได้ความใจดีของน้ำตาลด้วยที่ไว้ใจและมอบโอกาสให้หนู จนเริ่มมีคนรู้จักหนูมากขึ้น จนหนูมาอยู่กับ เอแคลร์ หิ้วหวี เป็นช่างทำผมประจำของเอแคลร์ แล้วก็ได้ทำผม พี่นัท สะบัดแปรง พอมาอยู่ตรงนี้ เหมือนพี่ ๆ เค้าเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว พอมาทำงาน เอแคลร์ ก็บอกหนูตลอดว่า พั้มกิ้น ต้องทำช่อง ทำคลิปนะ หนูก็บอกว่าไม่เอา ฉันอยากจะเป็นช่างผมอันดับ 1 แต่ เอแคลร์ ก็ย้ำว่าหล่อนต้องทำ หนูก็เลยค่อย ๆ เข้ามาในกล้องทีละนิด ๆ จนคนเริ่มแซว คนเริ่มรู้จัก แล้วก็มีวันนี้ที่กลายเป็น พั้มกิ้น หิ้วหวี”เรื่องนี้ ที่ทำให้ พั้มกิ้น เสียน้ำตา“ในช่วงโควิด ตอนนั้นหนูไม่มีงาน แล้วหนูก็เที่ยวเล่นเสเพลจนเงินหมด จนต้องหยุดเที่ยว หยุดปาร์ตี้ หยุดทุกอย่าง นั่นคือสิ่งที่ทำให้หนูร้องไห้ หนูไม่มีเงินกินข้าวแล้ว และหนักถึงขั้นที่ว่าหนูต้องกินน้ำก๊อก มันหนักจนคิดว่าไม่อยู่แล้วดีกว่า ด้วยสถานการณ์มันห่อเหี่ยวไปหมดเลย หนูเลยเอาเงินที่เหลืออยู่ไปซื้อยาแก้แพ้กระปุกเล็กมากระปุกหนึ่ง แล้วกินเข้าไปหมดเลย ปรากฏว่า 8 โมง หนูหิวข้าวแล้วสะดุ้งตื่น พอตื่นขึ้นมาแล้วตัวมันชาไปหมดเลย แล้วก็รู้สึกเวียนหัว ก็เลยเดินลงมาซื้อข้าวกิน ในเมื่อไม่ตาย ชีวิตก็ต้องไปต่อ เมื่อเรามีชีวิตเดียวเดินหน้าต่อดีกว่า ฝืนอีกสักหน่อยเผื่อจะมีโอกาสที่ดี จนเริ่มมีงานเข้ามา หนูขอบคุณตัวเองมากที่ไม่คิดสั้นตั้งแต่ตอนนั้น”กลับมาสู้ต่อ จนได้เป็นพรีเซ็นเตอร์“พอตัดสินใจสู้ต่อ หนูก็มาทำผมให้ เอแคลร์ เหมือนเดิม แล้วนางก็เริ่มปั้นหนู ดันจนมาเจอ พี่ทราย มาดามฟิน ที่ให้หนูไปทำผม ทำไปทำมาพี่ทรายก็เอ็นดูเรา พาเราไปเที่ยวญี่ปุ่น ไปเที่ยวหลากหลายที่ แล้วก็มีอยู่วันหนึ่งเราจะไปทำผมให้เหมือนเดิม แล้วเค้าก็เดินมาจับมือเราบอกว่า พรุ่งนี้พั้มกิ้นไม่ต้องมาทำผมพี่แล้ว แต่มาช่วยพี่ไลฟ์สด แล้วหนูก็มาช่วยไลฟ์สดจนได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ ต้องบอกว่ามันไปเรื่อยเลยชีวิตหนู”พั้มกิ้น กับชีวิตที่เคยหลงผิด“บทเรียนครั้งนั้นมันหนักมากสำหรับหนู ตอนนั้นหนูคิดว่าไปลองซักหน่อย อาจจะไม่ได้เสียหายอะไร เพราะว่าตอนนั้นหนูเจอเรื่องราววิกฤติที่มันแย่มาก ๆ มันเกิดก่อนช่วงโควิดอีกค่ะ และคิดว่ายาเสพติดคงจะช่วยเราได้ มันเหมือนไปยืมความสุขมาใช้ พอเราลองสัมผัสมันแล้วรู้สึกว่ามีความสุข เราไม่ต้องคิดถึงเรื่องวันวานเลย จนหนูถลำลึกไปเรื่อย ๆ จนเงินหมด เงินเก็บที่มีหลายแสนหมดเพราะยาเสพติดหนูติดแล้วก็ถลำลึกจนเราไม่รู้ตัว งานเริ่มหาย เพื่อนเริ่มไม่มี หนูไม่ฟังใครเลย ไม่อยากไปทำงาน อยากจะอยู่แต่บ้าน อยากจะอยู่แต่ห้อง อยากจะใช้แต่ยาเสพติด เรากลายเป็นใครก็ไม่รู้ไปเลย ซึ่งมันอันตรายมาก จนถึงขั้นหนูมีภาวะซึมเศร้า เลยพยายามสู้มาด้วยตัวเอง แล้วก็หาวิธีการเลิกในวิธีต่าง ๆ ฟังแล้วก็ดูสื่อให้มันหลอน พออยากจะใช้ยาก็หาอะไรดูให้รู้สึกว่าไม่ได้นะ ถ้าใช้ต่อไปเราจะเละเทะไปแค่ไหน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป หนูจะต้องไปนอนข้างถนนแน่ ๆ ก็หักดิบได้เองเลยหนูกลับตัวมาได้ เพราะเพื่อน ๆ ช่วงนั้นมันมีพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ทำให้เพื่อน ๆ รู้ว่าหนูเป็นหนักแล้ว เพราะหนูชอบโพสต์ว่าอยากตาย อยากฆ่าตัวตาย ทำให้คนที่ติดตามเราเลิกติดตามไปเรื่อย ๆ เพื่อนหลายคนก็แซว แต่ เอแคลร์ ไม่แซวอะไรเลย นางเป็นห่วงอยู่ห่าง ๆ คอยเรียกไปทำผม เพื่อที่จะเรียกให้ไปหา แล้วสังเกตว่าหนูเลิกแล้วแน่นะจากนั้นหนูก็อยู่เบื้องหลัง คอยทำผมมาเรื่อย ๆ ก็เริ่มขยับขึ้นมาเป็นไมโครอินฟลูเอ็นเซอร์ รับงานลูกค้าเอาเราไปถ่ายคลิป โชคดีที่พี่ ๆ หิ้วหวี เป็นเหมือนแสงสว่างของหนูเลย คือถ้าไม่มีพวกเค้าเหล่านี้ ทุกคนก็คงจะไม่รู้จักหนู ต้องขอบคุณมาก ๆ เลย”ความในใจจาก พั้มกิ้น ที่อยากจะบอกกับคนสำคัญคนนี้“เอแคลร์ เป็นคนที่ไม่ได้ชมให้รู้ พวกหนูจะไม่ได้ชอบชมกัน แต่จะให้กำลังใจทางอ้อม ซึ่ง เอแคลร์ เป็นเพื่อนที่หนูรักที่สุดตอนนี้ เพราะนางดันหนูทุกทาง ให้หนูได้มีวันนี้ จะบอกว่าขอบคุณเอแคลร์ มาก ๆ ที่ทำให้เรามีทุกวันนี้ หนูรักเพื่อนคนนี้มาก มันรักโดยอัตโนมัติ สมมติถ้าเราไปไหนมาไหนด้วยกัน แล้วมีคนที่จะมาทำอะไรไม่ดีใส่เอแคลร์ หนูสามารถพุ่งไปหาคนนั้นได้โดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ และสามารถตายแทนได้เลย”คอมเมนต์เชิงลบ ที่ไม่กระทบจิตใจแล้ว“แรก ๆ หนูจะโดนคอมเมนต์ว่าเบาหน่อยได้ไหม เสียงดังทำไม ซึ่งหนูก็คุมตัวเองไม่ได้เรื่องการเสียงดังเวลาไปรายการ แต่พอหนูเข้ามาย้อนคิด ก็เห็นว่าคนที่มาคอมเมนต์เป็นแอ็คเคาท์หลุม เราไม่เจอเค้าอยู่แล้ว หนูก็เลยคอมเมนต์กลับว่า ขอบคุณค่ะ น่ารักมาก ฝากผลงานด้วยนะ คอมเมนต์มาก็คอมเมนต์กลับ หนูไม่ได้สนใจอยู่แล้วแล้วก็จะมีหลายคนที่คอมเมนต์เพื่อปรึกษา เช่น ที่บ้านหนูไม่ยอมรับเลยทำยังไงดี หนูก็จะบอกว่า สู้ ๆ ค่ะ เป็นกำลังใจให้นะ ลองเปลี่ยนความคิดตัวเองดูไหม ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวเราว่าเราจะไปเอาก้อนตรงนั้นมาไว้ที่หัวเรามากน้อยแค่ไหน ทำให้ตัวเองมีความสุขไปวันต่อวันนะคนดี ซึ่งหนูให้คำปรึกษาได้ และในอนาคต หนูอยากทำรายการทอล์ค หนูอยากฟังอยากคุยกับคน อย่าง พี่อ้อย พี่ก็อตจิ พี่สุทธินาถ ทองชื่น อย่างพี่อ้อย เวลาจัดรายการ เวลาคนมีเรื่องเศร้า ๆ เข้ามาปรึกษา พอหลังจบรายการเค้าจัดการกับตัวเองยังไง หนูก็เลยอยากมีรายการทอล์ค อยากคุยกับผู้คนอื่น ๆ ค่ะ”เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ พั้มกิ้น หิ้วหวี“ตอนนี้มีคนคุยเป็นคนนอกวงการ ตอนนี้ชอบเพื่อนอยู่ชื่อเก้า จีบเก้าอยู่ แต่เก้าบอกว่ารออีก 2 ปี ถ้าไม่มีใครเดี๋ยวมาเป็นแฟนกัน ซึ่งเก้าคืออยู่ในกลุ่มหิ้วหวีเหมือนกัน น้องเก้าน่ารัก หนูชอบคนที่เด็กกว่า แล้วหน้าตาน่ารัก ก่อนหน้านี้หนูมีแฟนค่ะ เป็น LGBTQ+ เหมือนกัน เค้าเป็นทอม ที่อยู่ด้วยกันแล้วเข้าใจกัน แต่สุดท้ายก็เลิกกัน หนูก็เสียใจวันเดียวเลย ไม่มีล้มค่ะเรื่องนี้ ไม่มีอะไรล้มหนูได้ นอกจากหนูหิว ไม่มีผู้ชายไม่เป็นไร ไม่มีความรักไม่เป็นไรเลย ให้หนูอิ่มให้หนูได้กิน หนูไม่ซีเรียสเลยค่ะเรื่องความรัก”ความภูมิใจ ของ พั้มกิ้น หิ้วหวี“หนูภูมิใจที่เอาตัวเองออกมาจากอบายมุขต่าง ๆ ได้ ขอบคุณตัวเองมากที่กลับมารักตัวเองได้ทันเวลาก่อนที่มันจะสายไปมากกว่านี้ และหนูภูมิใจตรงที่ว่า หนูเคยทำผิดพลาดกับหลาย ๆ คน แล้วพอมาอยู่ตรงนี้ หนูก็ไม่ต้องไปป่าวประกาศว่าหนูเป็นคนดีแล้ว หนูทำตัวเองให้คนอื่นได้เห็นว่า เรามีวันนี้ได้แล้วนะ เรามีลูกค้าที่รักเรา แสดงว่าเราเป็นคนดีแล้วจริง ๆ นี่คือสิ่งที่หนูภาคภูมิใจในตัวเองที่สุด”สีสัน แรงบันดาลใจ จาก พั้มกิ้น หิ้วหวี“คนที่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด อยากให้ลองตั้งสติ คิดให้มาก คิดถึงคนรอบข้างให้เยอะ ๆ และคิดถึงตัวเองในอนาคตด้วย และใครที่กำลังจะไปยุ่ง อย่าไปยุ่งเลยนะคะ มันอันตรายมาก ๆ ไม่ว่าคุณจะเคยลองครั้งสองครั้งแล้วบอกว่าไม่ติด มันไม่จริง มันคือยาเสพติด มันจะทำลายทุกอย่างในชีวิตเรา ไม่เคยมีใครได้ดีจากยาเสพติดเลยแม้แต่คนเดียว มันคือการยืมความสุขในอนาคตมาใช้ วันนี้เรามีความสุข แต่พอมันหมดตรงนั้นไป เราจะทุกข์มาก ๆ เลยนะคะ” - พั้มกิ้น หิ้วหวีพบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

05 เม.ย. 2024

ยังเป็นพื้นที่ ที่เปิดโอกาสให้ได้คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่ ไปพร้อมกับ 2 ดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” สำหรับรายการ Club Pride Day ที่ได้มีโอกาสต้อนรับแขกรับเชิญสุดพิเศษ “เพียว เอกพันธ์” ตัวแม่อาร์แอนด์บีเมืองไทย ที่หลงใหลในเพลงสากล ผู้ลบคำสบประมาทที่มองว่าไม่ง่ายที่นักร้องบนเวทีประกวด The Voice จะเอาชนะด้วยเพลงสากล แต่ เพียว เอกพันธ์ สามารถทำได้ สีสันชีวิตของเขาผ่านอะไรมาบ้าง รวมถึงมีข้อคิดแรงบันดาลใจดี ๆ ที่ได้แชร์ไว้ในรายการด้วยเพียว เอกพันธ์ กับความฝันที่อยากเป็นนักร้องมาตั้งแต่เด็ก“เพียวร้องเพลงเป็นตั้งแต่เด็กเลยค่ะ แต่ก่อนเป็นเด็กบ้านนอกเลี้ยงวัว ซึ่งมีสิ่งที่สร้างความสุขอย่างเดียวก็คือ เสียงเพลงเสียงดนตรีที่เปิดไว้ในบ้าน หนูก็เลยรู้สึกว่าอยากร้องเพลง แล้วก็ชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก ตอนเด็ก ๆ ที่บ้านจะชอบเปิดเพลงของแม่ผึ้ง พุ่มพวง เพลงพี่ทาทา ยัง เพลงพี่เบิร์ด ธงไชย หนูก็จะซึมซับมา เพราะฟังมาตั้งแต่เด็ก แต่คนที่ชอบจริง ๆ ก็คือหนังที่ วิตนีย์ ฮิวสตัน แสดงคือเรื่อง ซินเดอเรลล่า คุณแม่ใส่ชุดแบบรัดรูป แล้วก็ผมใหญ่ ๆ พอหนูดูแล้วรู้สึกว่าอยากเป็นแบบคุณแม่บ้าง แต่ตอนนั้นพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยพอได้เรียนภาษาอังกฤษ หนูก็กลายเป็นเด็กที่พูดภาษาอังกฤษได้ดี แล้วก็เรียนได้เกรด 4 เลยตอนเรียนม.ปลาย พอแม่รู้ก็เลยอยากให้หนูเป็นไกด์ เพราะจะได้ใช้ภาษา แต่หนูก็เลือกสอบเข้าวิทยาลัยดนตรี วิชาเอกดนตรีแจ๊สและการแสดงเชิงปฎิภาณ เพราะไม่อยากเป็นไกด์ หัวใจฉันคือจะไปเป็นดาวเท่านั้นค่ะแม่”ด.ช. เอกพันธ์ กับตัวตนที่ต้องเก็บซ่อน“เพียวใช้เวลา 27 ปี จนประกวด The Voice ถึงจะได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ ซึ่งก่อนหน้านั้นเวลาที่เพียวประกวดอื่น ๆ ก็จะต้องแอ๊บแมน เพราะสังคมตอนนั้นกับตอนนี้มันต่างกันมาก แล้วก็ตอนเป็นเด็ก แม่ก็จะห้ามเป็นตุ๊ด เพราะแม่มีภาพจำที่ไม่ดีเกี่ยวกับการเป็นกะเทย แล้วกลัวว่าถ้าเราไปเป็นกะเทยแล้วชีวิตไม่ดี กลัวจะไปติดยา แล้วก็ห้ามไม่ให้เพียวเป็นตุ๊ดตอนนั้นเพียวคิดว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งสิ่งที่ทำให้รู้สึกดีขึ้นก็คือ การร้องเพลง การฟังเพลงและ การเต้น เมื่อก่อนตอนเด็ก ที่บ้านจะเป็นบ้านเย็บผ้าแบบเย็บจักร แล้วก็จะมีผ้าเยอะ หนูก็จะเอาผ้าไปโรงเรียน เอาไปใส่แล้วก็เต้น พอเพื่อนเห็น เพื่อนก็มาบอกแม่ว่า เพียวมันเอาผ้าไปแต่งหญิงแล้วเป็นกะเทย เต้นแบบผู้หญิงเลย แล้วหนูก็โดนแม่ตีเลย จำได้ว่าตอนนั้นอายุ 10 ขวบ หนูอายคน เพื่อนบ้านและญาติ ๆ ก็จะชอบล้อว่า ลูกเธอมันเป็นกะเทย ทำให้ช่วงวัยเด็ก ตอนกลับบ้านหนูจะเป็นคาแรกเตอร์หนึ่ง พอไปโรงเรียนก็เป็นอีกคาแรกเตอร์หนึ่ง ตอนอยู่ที่โรงเรียนเอาน้ำยาอุทัยทาปาก ทาแป้ง พอถึงบ้านก็รีบลบออก จนเริ่มเป็นเด็กเก็บกด โชคดีที่หนูไปเจอศูนย์ภาษาอังกฤษที่อยู่ใกล้บ้าน ที่มีมิชชันนารีจากกรุงเทพเค้าไปเปิด พอหนูได้ไปเรียนกับพี่ ๆ แล้วก็รู้สึกว่าได้เจอพระเจ้าที่นั่น หนูรู้สึกว่าเราได้เจอสิ่งที่เป็นบ้านของเรา เป็นเซฟโซน เหมือนที่นั่นได้เซฟชีวิตเพียวไว้เลยแต่เพียวก็คิดกับตัวเองว่า เดี๋ยวฉันจะดีให้ดู เพราะว่าแม่ของหนูถึงแม้ว่าเค้าจะตีหรือดุเรา แต่แม่ก็ส่งเสียเพียวเรียนหนังสือ แม่เห็นว่าลูกคนนี้จะไปได้ไกล แต่ตอนเป็นเด็กแม่ไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะคุณยายไม่ให้เรียน แล้วพอเห็นเพียวตั้งใจแล้วก็เรียนได้ แม่ก็เลยส่งเสีย ซึ่งเพียวก็รู้สึกถึงความรักจากตรงนี้ของแม่ แล้วก็รู้สึกว่าเราอยากทำให้แม่ภูมิใจ”จุดเปลี่ยน ที่ทำให้ครอบครัวยอมรับ“ตอนแรกที่ประกวดร้องเพลงแม่ก็ยังไม่ยอมรับ แต่เราก็รู้ตัวเองอยู่แล้วว่าตัวตนของเราเป็นยังไง ตอนที่เราตัดสินใจไปประกวด The Voice Thailand Season 6 การประกวดครั้งนี้ เพียวรู้สึกว่าอยากเป็นตัวของตัวเอง ฉันอยากแตกสาว ฉันอยากเป็นตัวของตัวเอง ก็เลยบอกแม่ว่า หนูจะลงประกวด The Voice Thailand Season 6 แล้วแม่ก็ขอว่า เป็นตัวเองได้แต่อย่าทำหน้าอกนะ ก็เป็นการพูดขำ ๆ เพียวก็บอกว่าได้เลย แต่ขอแต่งตัว แต่งหน้า แต่งหญิงในแบบที่ชอบนะ ซึ่งพอไปประกวดเวทีต่าง ๆ อย่างตอนที่ปประกวด KPN Award แล้วได้เงินมา เพียวก็ให้แม่หมดเลย แล้วก็ช่วยใช้หนี้ ธกส. หลังจากนั้นพอเริ่มทำงานแล้ว ได้เงินเท่าไหร่ก็ต้องให้แม่ เพราะว่าแม่ท่านลำบากมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่เพียวจำความได้คือแม่ลำบากมาก หนูก็รู้สึกว่าอยากทำให้แม่สบายสักที แล้วก็อยากทำให้แม่ภูมิใจในตัวเรา แล้วยอมรับในตัวตนของเราได้ในการประกวดร้องเพลง หนูไปหลายเวทีมาก The Star ก็ไป แล้วก็ไป KPN Award แล้วก็มาต่อที่ The Voice Thailand Season 6 ซึ่งตอนประกวด The Star หนูยังไม่ได้เรียนร้องเพลง เพราะตอนนั้นอยู่ร้อยเอ็ดก็ยังไม่มีครูสอนร้องเพลง จนคิดว่าตัวเองอยากเรียนเกี่ยวกับดนตรีก็เลยได้ครูที่โบสถ์ช่วยสอน แล้วหนูก็เริ่มหาครูที่จะสอนร้องเพลง เพื่อจะติวหนูเพื่อสอบเข้า ม.รังสิต ตอนนั้นก็ต้องสอบขอทุนเพราะว่าไม่มีเงินเรียน แล้วก็ได้ทุน 100% ก็เลยได้เรียนที่ ม.รังสิตซึ่งการร้องเพลงของหนูมันเริ่มสร้างรายได้ในตอนที่ทำวง ตอนนั้นหนูกับเพื่อนสนิทที่มหาวิทยาลัย ชื่อไข่มุก ซึ่งเป็นนักร้องด้วยกัน แล้วก็ชวนมาตั้งวงด้วยกัน ชื่อว่า เดจาวู แล้วก็เริ่มได้ค่าตัวครั้งแรกเลยคือ 600 บาท แล้วหนูก็เริ่มร้องไปเรื่อย ๆ จนลูกค้าที่ไปดูเราที่ร้านเริ่มอยากจ้างไปร้องงาน Event แล้วก็ได้ค่าตัว 5,000 บาท ตอนนั้นดีใจมากเลยค่ะ”การประกวดร้องเพลง กับความรู้สึกที่ไม่กล้าเป็นตัวเองมากพอ“ตอนที่ประกวด KPN ตอนนั้นอายุประมาณ 18 ปี รู้สึกว่าตัวเองยังเด็กมาก แล้วพอกลับไปดูตัวเองตอนนั้นรู้สึกว่าเป็นเด็กที่เก็บกดมาก เพราะมันไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง แล้วก็รู้สึกว่าหนูพยายามที่จะร้องให้เยอะ ร้องเพลงให้ใหญ่ แล้วก็ร้องเสียงสูง ๆ เพราะตอนนั้นเราเพิ่งเริ่มร้องเพลง และเราก็บ้าไฟบ้าพลัง แล้วงานจ้างก็ไม่ค่อยมี ทำให้หนูคิดมาก แล้วมีภาวะซึมเศร้าเลยค่ะแต่พอมาช่วงที่จะประกวด The Voice Thailand Season 6 ช่วงก่อนโควิด-19 หนูได้มีโอกาสไปร้องเพลงที่ร้าน House of Heals ของ พี่ปันปัน แล้วพี่ปันปัน คือคนที่จับหนูแต่งหน้า แล้วก็ให้ออกมาร้องเพลงให้ลูกค้าดู ซึ่งลูกค้าก็ให้ทิปเยอะมาก จนหนูรู้สึกว่า นี่ฉันสวยเหรอ ทำไมเวลาแต่งหน้าแล้วฉันรู้สึกว่าฉันสวย แล้วคนให้ทิปฉัน แล้วพี่ปันปันก็เลยเอารองเท้าส้นสูงของตัวเองมาให้หนู ต้องขอบคุณพี่ปันปัน ที่ทำให้หนูกลับไปคิดถึงเด็กตุ๊ดตัวเล็ก ๆ ตอนนั้น ที่แอบแม่แต่งหญิง พอมาวันนี้ได้มาแต่งหน้าแต่งตัวจัดเต็มก็ทำให้รู้สึกว่าได้เป็นตัวของตัวเอง แล้วก็ดีใจที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ ได้เป็นตัวเองเต็มที่”คนที่อยากเป็นนักร้อง ควรจะต้องเรียนร้องเพลง“เพียวว่าการเรียนร้องเพลงจำเป็นสำหรับนักร้อง เหมือนเราเป็นนักว่ายน้ำ เราก็ต้องเรียนว่ายน้ำ เพื่อรู้จักการบริหารกล้ามเนื้อที่เราต้องใช้ ซึ่งคนทุกคนสามารถร้องเพลงได้ อยู่ที่ว่าจะร้องเพี้ยนรึเปล่า และหนูสามารถสอนให้ร้องให้ตรงคีย์ขึ้นได้ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน โดยเฉพาะเรื่องหู ที่บางคนเวลาฟังได้ยินปกติ แต่ว่ามันไม่ซิงค์กับเสียงเรา บางทีต้องจูนกับเสียงที่ได้ยิน จูนไปเรื่อย ๆ ค่อย ๆ ฝึกไป ค่อยๆ ร้องเพลงที่มันไม่ได้เสียงสูงมากจริง ๆ การร้องเพลง เริ่มได้เลยตั้งแต่ 3 ขวบ พูดได้ก็ร้องได้ ให้เค้าฝึกร้องไป เอบีซี ฝึกให้เค้าร้องไปได้เลย เรื่องเพลงแบบไหนร้องยาก หนูมองว่าเพลงแนวร็อคที่ต้องว้าก เป็นเพลงที่ร้องยาก หนูร้องไม่ได้เลย ซึ่งมันมีเทคนิคคือ ไม่ต้องร้องดัง แค่เอาไมค์มาใกล้ ๆ ปากแล้วว้าก ซึ่งหนูยังทำไม่ได้ การว้ากมันยาก รู้สึกว่าถ้าทำแล้วเสียงแหบ ซึ่งแสดงว่าเราออกเสียงผิดวิธี นอกจากเพลงร็อค เพลงแจ๊สก็ยากค่ะ”เปิดเรื่องราว ที่ เพียว เอกพันธ์ ต้องเสียน้ำตา“ช่วงที่ชีวิตหนูเซหนัก ๆ คือช่วงก่อนที่จะมา The Voice Thailand Season 6 ช่วงนั้นหนูน่าจะเป็นซึมเศร้าเลย ติดเหล้า แล้วก็สูบบุหรี่ด้วย เพราะว่าตอนนั้นแม่โดนยึดรถ แล้วก็มีเรื่องบ้าน ครอบครัวไม่มีเงิน แล้วหนูก็ต้องย้ายจากหอหนึ่งไปอีกหอหนึ่ง เพื่อที่จะจ่ายค่าหอให้ได้ แล้วก็ต้องหาค่าเทอมจนเรียนจบเอง ตอนนั้นเครียดหนักมากจนป่วยเป็นสะเก็ดเงินทั้งตัวเลย จากการพักผ่อนไม่เพียงพอ แล้วก็ภูมิตก แล้วการดื่มหนักเริ่มมีผลกับการร้องเพลง เพราะเสียงของหนูในตอนนั้นคือแหบมากทุกวันนี้ที่กลับมาเป็นตัวเองเหมือนเดิมได้เพราะป่วย พอมันเห็นตัวเองในภาพ แล้วเราไม่อยากอยู่ตรงนี้ แต่เรายังมีพ่อมีแม่ที่ต้องช่วยเค้า ก็เลยรู้สึกว่าไม่เป็นไร เราต้องสู้ต่อ ก็เลยเลิก หันมากินส้มตำแซ่บ ๆ แทนค่ะ”เพียว เอกพันธ์ กับการประกวด The Voice Thailand Season 6“เพียวอยากให้คนเห็นอีกแนวของเรา หลังจากที่ได้ปลดล็อคไปขั้นหนึ่งของชีวิตแล้ว อยากให้คนเห็นลุคใหม่ของเรา ที่เป็นลุคเกย์แตกสาว อยากให้คนรู้จัก แล้วก็จ้างงานเราเท่านั้นเลย ซึ่งตอนที่ตัดสินใจจะประกวด The Voice Thailand Season 6 หนูกดดัน เพราะถูกมองว่าหนูเป็นตัวเต็ง แต่หนูไม่ได้คาดหวังขนาดนั้น ก็แค่อยากลองไป ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ก็กลับมาทำงานต่อ แค่เราได้ไปเจอคนใหม่ ๆ ได้เจอทีมงาน เจอนักดนตรีเก่ง ๆ ได้มีคอนเนคชั่นใหม่ ๆ แค่นี้ก็พอแล้ว ตอนประกวดรอบแรกร้องเพลง Forget You แล้วก็มี Man in the Mirror และ Run to you เพลงสุดท้ายคือ Time Funk ซึ่งเป็นเพลงสากลหมดเลย ตอนนั้นหนูเลือกอยู่ทีมโค้ชพี่สิงโต แล้วสามารถข้าไปได้ถึงรอบ 8 คนสุดท้ายเพียวว่า ตอนนี้คนฟังเพลงกว้างขึ้นมากเลย คงจะเป็นเพราะโลกกว้างขึ้น มี Youtube มี สตรีมมิ่งเยอะมาก แต่บางครั้งคนจะชอบคิดว่าการเอาเพลงสากลมาประกวดตั้งแต่รอบแรกในเวทีระดับประเทศที่เป็นเวทีประเทศไทยมันจะไม่ชนะ เพราะว่าหนูเป็นคนแรกในประเทศเลย ที่เอาเพลงสากลมาแข่งใน The Voice แล้วก็ชนะ หนูคิดว่าน่าจะเป็นเพราะสังคมเราเปลี่ยนแล้วก็โลกเปิดขึ้น แล้วเราก็ฟังเพลงหลากหลายแนวขึ้น ซึ่งจริง ๆ แล้ว หนูถนัดหมดเลย ร้องได้หมดเลยทุกแนว แต่ที่ชอบแล้วก็หลงใหลก็คือ ร้องเพลงสากล แนวอาร์แอนด์บี”แรงจูงใจ ที่ทำให้อยากประกวด The Voice All Stars อีกครั้ง“มันคือความอยากให้คนเห็นอีกนั่นแหละค่ะ อยากให้คนเห็นเราสวยขึ้น เราติดขนตาไปร้องเพลงแล้ว ใส่ส้นสูงไปร้องเพลงแล้วนะ การกลับมาแบบเต็มรูปแบบขนาดนี้ คิดว่าพี่สิงโตเค้าน่าจะตกใจนะคะ แต่คนที่ตกใจที่สุดน่าจะเป็นพี่คิ้ม เพราะพี่คิ้มเจอกับเพียวเมื่อ 10 ปีที่แล้วตอน KPN Award เราร้องเพลงคู่กัน เพลง I believe I can fly แล้ววนมาเจอกันอีกครั้งใน The Voice All Starsเพลงที่เพียวร้องครั้งนี้ มีเพลงไทยที่ร้องในรอบ Semi-Final คือเพลง ซังได้ซังแล้ว ของ พี่ต่าย อรทัย บอกเลยว่าการประกวดตอนนั้นมีแต่คนเก่ง ทั้ง ปรางทิพย์,เก่ง ธชย, แตงโม แล้วก็ พี่คิง มีแต่ตัวฟาด ๆหนูไม่คิดเลยว่าตัวเองจะได้แชมป์ พอจับมือกับพี่เก่ง ตอนรรอบประกาศผล หนูคิดว่าต้องเป็นพี่เก่งแน่นอน ไม่เป็นไรฉันจะกลับบ้านไปร้องเพลง แต่พอประกาศชื่อเพียวปุ๊บ หนูก็ตกใจมากเพราะว่าคะแนนหนู กับ พี่เก่ง ห่างกันแค่ 0.5 ตอนนั้นกรี๊ดดังมากบนเวที แล้วก็ร้องไห้เลยค่ะ มันดีใจมาก ๆแล้วตอนนั้นแม่เห็นเพียวลุคนี้เลย แม่มาดูเลยเองเลย แล้วในตอนที่หนูประกวด ด้วยความที่แม่เป็นช่างเย็บผ้า แม่ก็ตัดชุดให้ ตัดกางเกงให้ เพื่อให้หนูสวมในและรอบ มาวันที่ได้แชมป์ คุณแม่ดีใจมาก ตอนนี้ไปไหนก็เชิดหน้า แต่ก่อนชอบเดินก้มหน้ามาก เพราะว่าเค้าเป็นหนี้เยอะ แต่ตอนนี้ก็คือปลดหนี้หมดแล้ว”ความฝันต่อไป ของ เพียว เอกพันธ์“ตอนนี้หนูอยากมีเพลงดัง อยากมีเพลงที่เอาไว้ร้องโชว์ และตอนนี้หนูกำลังทำเพลงเอง แล้วก็คิดว่าจะปล่อยเพลงในเดือน Pride Month แล้วก็มีเพลงช้าแบบเศร้า ๆ 1 เพลงค่ะ ซึ่งหนูอยากมีเพลงแนวร็อค แล้วก็อยากทำเพลงหมอลำที่เป็นแบบเต้นรถแห่ทำนองนั้นค่ะสำหรับน้องที่อยากเป็นนักร้อง หนูอยากจะให้ฟังเพลงเยอะ ๆ เพราะว่าการร้องของเรา มันขึ้นอยู่กับแนวเพลงที่เราฟัง เพราะว่าการที่จะร้องเพลงได้ดีต้องเสพเพลงหนักมาก อย่างเช่น หนูเองก็จะเสพเพลงแนวอาร์แอนด์บี หรือแบบ Gospel Music หนักมาก มันเลยทำให้หนูร้องได้อินมาก แล้วก็อยากให้น้อง ๆ เรียนร้องเพลง จะได้ร้องเพลงให้ถูกต้อง แล้วก็จะได้รู้วิธีการร้องเพลงที่เซฟคอของเราไว้ จะได้ร้องเพลงนาน ๆ แล้วก็ไปประกวดทุกเวทีเลย มีงานวัด หรืองานประกวดก็ไปเลยค่ะส่วนคนที่รู้สึกว่าไม่อยากประกวด หนูมองว่าเดี๋ยวนี้มันง่ายมาก ทุกคนสามารถทำเพลงเองได้ ลองเขียนเพลงไหม แต่งเพลงไหม แล้วเอาลง Youtube ไปเลย บางทีมันอาจจะมีคนเข้ามาฟังเพลงเรา ซึ่งถ้าเราชอบจริง ๆ แล้วรักจริง ๆ หนูคิดว่าจะเดินทางไหนก็ได้ จะไปประกวดหรือว่าจะทำเพลงเองมันก็ไปต่อได้ ถ้าเรารักมัน”เปิดสเปค ส่องความรักของ เพียว เอกพันธ์“สเปคของหนู ชอบแบบไทยบ้านดำแดด ผิวคล้ำ ๆ แล้วก็สูง ๆ ชอบคนสูงกว่า หนูขี้อายมากเลยค่ะกับเรื่องผู้ชายไม่ค่อยกล้าเข้าหาด้วย ก็จะมีหลายคน ที่เวลาไปเจอเค้า แล้วเค้าบอกให้ร้องเพลงให้ฟังหน่อย เราก็ร้องให้เค้าฟัง เพราะหนูเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง ในรูปลักษณ์ตัวเองเลย แล้วก็รู้สึกว่าสิ่งที่สวยงามที่สุดก็คือเสียงของเรา แล้วก็ถ้าเค้าอยากให้เราร้องเพลงให้ฟัง เราก็โอเคร้องให้ฟัง เผื่อเค้าจะได้ชอบเราบ้างแฟนคนแรกเคยคบกัน แล้วก๊อกหัก ตอนนั้นหนูน่าจะอยู่มหาวิทยาลัยปี 3 เป็นป๊อบปี้เลิฟแล้วเวลาอกหัก หนูจะเศร้าสะเทือนใจนิ่งเงียบเลย แล้วก็ฟังเพลง หนูไม่เคยเอาแฟนไปเปิดตัวต่อหน้าแม่เลยตั้งแต่คบกันกับแฟนมา และส่วนใหญ่ถ้าผิดหวังเรื่องความรัก หนูจะเก็บน้ำตาไปร้องไห้เวลาต้องไปร้องเพลงกลางคืน มีครั้งหนึ่งอกหักแล้วต้องไปร้องเพลงต่อ แล้วร้องไม่ได้ อารมณ์ก็ไม่ถึง ร้องเนื้อผิด ร้องมั่วไปหมดเลยค่ะ”อยากให้คุณพ่อคุณแม่ รักลูกแบบไม่มีเงื่อนไข“หนูได้มีโอกาสไปเป็นวิทยากรที่ ม.รังสิต แล้วก็เล่าเรื่องว่าตัวเองเจออุปสรรคอะไรตอนเป็นเด็ก แล้วก็ลองถามน้อง ๆ ว่า ตอนนี้มีใครเป็นตุ๊ดไหมคะ แล้วพ่อแม่ว่าไงบ้าง ซึ่งน้อง ๆ ยุคนี้คือ พ่อแม่ยอมรับหมดแล้วแต่ถ้าพ่อแม่ใครที่ยังไม่ยอมรับ หนูอยากให้อดทน แล้วก็ให้รู้ว่าพ่อแม่รักเรา หนูอยากให้ทำอาชีพของเราให้ดีที่สุด เลี้ยงตัวเองและดูแลตัวเองให้ได้ แล้วก็ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่เราจะไปได้ ก็แค่นั้นเลยและอยากจะบอกคุณพ่อคุณแม่คนไหนที่มีลูกเป็น LGBTQ+ อยากให้ลองเปิดใจ แล้วก็ลองให้โอกาสเค้า ให้กำลังใจเค้า แล้วก็รักเค้าโดยที่ไม่มีเงื่อนไข สนับสนุนเรื่องการศึกษา และเรื่องอาชีพของเค้า ให้เค้าทำตามความฝันของเค้าค่ะ”สายสุดเซอร์ไพรส์ ส่งมอบแรงบันดาลใจให้กับ เพียว เอกพันธ์“มีหนึ่งสายสุดเซอร์ไพรส์ ที่เคยมาเป็นแขกรับเชิญของรายการ Club Pride Day นั่นคือสายของ นาตาเลีย เพลียแคม ที่ได้โทรเข้ามาพูดคุย พร้อมส่งต่อกำลังใจให้กับ เพียว เอกพันธ์ และเพียว ได้กล่าวคำขอบคุณกลับไปว่า “ดีใจค่ะ ที่เราได้รู้จักกับพี่นาตาเลีย พี่เค้าชอบเอ็นดูหนูเวลาประกวดก็ให้หนูไปร้องโชว์ เวลามีงานอะไรเข้ามา พี่นาตาเลีย ก็จะมอบโอกาสให้ตลอด หนูขอบคุณมากที่มีอะไรก็คิดถึงเพียว แล้วก็ดีใจที่เราได้เป็นพี่น้องกัน ขอบคุณนะคะ”สีสัน แรงบันดาลใจจาก เพียว เอกพันธ์“สำหรับใครที่มีทักษะอยู่ในตัว เช่น สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ อยากให้ใช้เวลาในการพัฒนาทักษะของตัวเอง หนูคิดว่าสิ่งนี้มันจะทำให้เราไปได้ไกล แล้วก็อยากให้รักอาชีพของตัวเอง ต้องเริ่มต้นจากความรักก่อน อย่างหนูก็รักดนตรี และใช้เวลากับดนตรีและการร้องเพลงเยอะมาก เมื่อเรารักมัน จะทำสิ่งนั้นได้นานค่ะ” – เพียว เอกพันธ์พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

29 มี.ค. 2024

เปิดเส้นทางพิชิตฝันของ “นินจา จารุกิตต์” ลีดเดอร์วง “4MIX” บอยแบนด์ LGBTQ+ ที่พา T-POP ดังไกลกระหึ่มเวทีโลก

“ในตอนเด็ก ๆ หนูปักธงเลย เวลาถูกถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร คำตอบเดียวของหนูคือ อยากเป็นดารา อย่างเดียวเลย ไม่มีคำตอบอื่นเลยที่ปักธงไว้ และตอนนั้นพูดไปใครก็ไม่เชื่อหรอกกว่าหนูจะมาอยู่จุดนี้ได้ แต่สุดท้ายหนูก็มาอยู่ตรงนี้แล้ว และพ่อกับแม่คือส่วนสำคัญมาก ๆ ขอบคุณที่พามาอยู่ตรงนี้นะคะ แล้วหนูก็จะทำให้ดีที่สุดค่ะ”แชร์สีสันของชีวิต แบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ ในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับ “นินจา จารุกิตต์” ลีดเดอร์ของวง 4MIX ผู้มากความสามารถทั้งด้านการร้อง การเต้น การเป็นดีเจ และมีความทุ่มเทในการก้าวเข้ามาเป็นศิลปินเป็นอย่างมาก พร้อมด้วยการแต่งกายแฟชั่นแบบจัดเต็มที่กล้าเป็นตัวเองอย่างเต็มที่บนเส้นทางของศิลปิน กว่าจะมาถึงวันนี้ เธอผ่านหลากหลายบททดสอบของชีวิต และมีข้อคิดแรงบันดาลใจดี ๆ ที่ได้แชร์เอาไว้ในรายการด้วยย้อนวัยเด็ก ของ ด.ช.จารุกิตต์“หนูเป็นเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง ถ้าเห็นในข่าวหรือในสารคดีที่ตอนเช้าจะมีควายผ่านหน้าบ้านมองเห็นท้องไร่ทองนา นินจาอยู่แบบนั้นเลย ใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่จังหวัดศรีสะเกษ แล้วแม่ของหนูเป็นครู ตอนเด็กหนูก็เรียนหนังสือที่โรงเรียนคุณแม่ และรู้ตัวเองว่าอยากเป็นศิลปินมาตั้งแต่เด็ก คือหนูดูทีวีแล้วรู้สึกว่าอยากไปอยู่ในนั้น บวกถึงกับหนูชอบร้องเพลง ชอบเต้น ซึ่งมันจะมีรูปหนูร้องเพลงติดอยู่ที่ฝาบ้าน จำได้ว่าเวลาร้องเพลงหนูจะได้ทิป 10 บาท 20 บาท จากญาติ ๆ แล้วรู้สึกว่ามันมีความสุข เวลาเห็นคนปรบมือ หรือเวลาได้แสดงบนเวที แล้วคุณแม่ก็ผลักดันลูกสุดฤทธิ์ ตอนนั้นหนูยังไม่ถึงอนุบาล 1 เลย แล้วที่โรงเรียนมีกีฬาสี คุณแม่ก็จะผลักดันว่ามาเอาลูกฉันไปเดินด้วย ให้เราไปเดินตามพวกพี่เค้า พอหนูไปทำแล้วมันสนุก เวลาเราเดินแล้วคนมอง มันรู้สึกแฮปปี้ก็เลยชอบกิจกรรมตั้งแต่นั้นมา”เกิดเป็นลูกคุณครู หนูจึง...“กดดันมากเลยค่ะ คือในหมู่บ้านมีครูไม่กี่คน เพราะครูคนอื่นเค้าก็มาจากตัวอำเภอ มาสอนเสร็จก็กลับบ้าน แต่คุณแม่คือสอนที่หมู่บ้านนั้น แล้วบ้านก็อยู่ในหมู่บ้านนั้นด้วย เวลาหนูแกล้งเพื่อน หรือทำนิสัยไม่ดี ก็มักจะถูกว่าแบบเป็นลูกครูทำไมทำแบบนี้ ตอนแรกหนูก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ แต่สักพักหนูก็บอกแม่ว่า ลูกครูแล้วทำไมเหรอ ลูกครูก็คน ก็ทำผิดได้ กลายเป็นความน้อยใจในตอนเด็ก ๆ แล้วเพื่อนก็ไม่ค่อยเล่นด้วย เค้าบอกว่าเดี๋ยวมันจะไปฟ้องแม่มัน เวลาเล่นกันก็ไม่กล้ามาโดนตัวเรากลัวหนูไปฟ้องแม่ ซึ่งหนูไม่เคยไปฟ้องนะคะ แต่ถ้าในพาร์ทที่แม่เป็นครูในโรงเรียน หนูรู้สึกว่าปกติ แล้วตอนที่อยู่โรงเรียนของแม่ หนูเรียนดีมาก หนูสอบได้ที่ 1 ทุกปี พอเราเป็นเด็กเรียน เพื่อนก็เริ่มเข้าหาค่ะ”นินจา กับการยอมรับจากคนในครอบครัว“ตอนเด็ก ๆ หนูจะไม่ค่อยชอบเลย ช่วงสงกรานต์ หรือปีใหม่ ที่ญาติเค้าจะมารวมตัวกัน เพราะหนูชอบโดนญาตินินทา ชอบล้อว่าหนูเดินบิดก้น แล้วโดนแซวตั้งแต่เด็ก ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่ากะเทยมันคืออะไร เค้าเรียกใคร ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจความหมายว่ามันคืออะไร แต่ในหัวเรารู้สึกว่าคำนี้มัน Negative แล้วทำไมเค้าถึงมาเรียกเราแบบนั้น แต่เราก็บอกว่าเราเป็นผู้ชายนะจริง ๆ แล้วเรื่องเพศ หนูไม่เคยคุยเรื่องนี้กับพ่อแม่เลย แล้วพ่อแม่ก็ไม่เคยทำให้รู้สึกกดดันด้วย หนูว่าพ่อกับแม่รู้มาตั้งแต่เด็กแล้ว หนูก็ใช้ชีวิตปกติไป ไม่เคยมานั่งเปิดใจหรือจับเข่าคุยกัน แต่ก็จะมีช่วงหนึ่งน่าจะประมาณประถมปลาย ตอนนั้นหนูนั่งรถไปกับพ่อ แล้วพ่อก็จะมีพูดแซวบ้างว่าจะเอาเมียไหมเนี่ย มีผู้สาวรึเปล่า หรือพยายามพูดเรื่องผู้หญิงให้เราฟัง แต่ก็พูดแค่นั้นแล้วก็ปล่อยผ่านไป ไม่ได้คุยอะไรกันมากมาย ซึ่งหนูก็ไม่ตอบ หัวเราะแล้วแกล้งเปลี่ยนเรื่องไปเลยค่ะ”โตขึ้นหนูอยากเป็นดารา“หนูปักธงเลยตั้งแต่เด็ก เวลาโดนถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร อยากเป็นหมอ หรืออยากเป็นพยาบาล หนูก็จะตอบว่าหนูอยากเป็นดาราอย่างเดียวเลย ไม่มีคำตอบอื่นเลย แต่แม่อยากให้เป็นข้าราชการเพราะมั่นคง แล้วแม่ก็ถามทุกวันเลยว่าไม่อยากเป็นครูเหรอ เป็นครูได้ไหม หนูก็เลยบอกแม่ว่า ตั้งแต่ ม.1 จนถึง ม.6 หนูเห็นแม่ต้องตื่นเช้า 8 โมง ไปสอนถึง 4 โมงเย็นทุกวัน ถ้าเป็นหนูก็คงไม่ไหวนะ หนูอยากใช้ชีวิต หนูเห็นแม่ตื่นเช้าทุกวันยันเกษียณ แล้วหนูเลยไม่อยากเป็นครูจากที่หนูฝันอยากจะเป็นดารา มันทำให้หนูทำทุกอย่าง พยายามไต่เต้าสู่ความฝัน พยายามให้แม่พาไปในตัวอำเภอเพื่อพาไปประกวด แล้วหนูค่อย ๆ ขยับตัวเอง จากที่เรียนในหมู่บ้าน ก็ขยับมาเรียนในอำเภอ จนได้มาเรียนในจังหวัด แล้วหนูขับเคลื่อนตัวเองด้วยกิจกรรม ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยการเรียนเลย โรงเรียนไหนที่เค้าบอกว่าเรื่องเรียนอันดับ 1 ทุกคนต้องแย่งกับสอบเข้า แต่หนูไม่อยากเรียน หนูเลือกสอบเข้าอีกโรงเรียนที่มีทีมเชียร์ลีดเดอร์โรงเรียนที่ปังมาก ๆแล้วตอน ม.ต้น ที่โรงเรียนจะมีวงดนตรีลูกทุ่ง ที่จะไปประกวดรายการชิงช้าสวรรค์ ตอนนั้นหนูเพิ่งเข้า ม.1 แล้วเห็นว่าเค้าซ้อมกันทุกวัน หนูก็คิดว่าทำไงให้ไปอยู่ตรงนั้นได้ เลยไปยืนเกาะเสาดูพวกเค้าซ้อม ไปยืนดูประมาณ 1 อาทิตย์ จนครูเห็นว่าเด็ก ม.1 คนที้ทำไมถึงมาเกาะเสาดูทุกวัน ก็เลยชวนหนูไปนั่งดู ตอนแรกหนูไปนั่งดูเฉย ๆ หลังจากนั้นพอวันที่พี่แดนเซอร์ป่วยหรือขาดเค้าก็จะให้เราไปยืนบล็อกกิ้งแทน แล้วหนูก็พยายามจำท่า ท่อนไหนจำได้เราก็เต้นแทนได้จนพี่ ๆ ในวงเห็นว่าเด็กคนนี้มันจำท่าได้ สุดท้ายเวลาพี่ ๆ แดนเซอร์ขาด หนูก็เป็นคนที่เข้าไปเต้นแทน กลายเป็นทีมงานเบื้องหลัง ช่วยทำอุปกรณ์ ช่วยถือชุด ถือกิ๊บช่วยพี่ช่างผม หลังจากนั้นพอพี่ ม.6 ที่คุมแดนเซอร์เค้าออกไปเรียนต่อ เค้าก็เลยให้หนูไปช่วยดูวง ได้ออกแบบท่าเต้น ได้ไปประกวดตามจังหวัดต่าง ๆ แล้วก็ได้มาแข่งรายการชิงช้าสวรรค์ นั่นเป็นการไปสตูดิโอ Work Point ครั้งแรกของหนู ตอนนั้นตื่นเต้นมาก ที่ ๆ เรารยืนคือที่ที่เราดูในทีวี มันตอกย้ำความฝันวัยเด็กของหนูมาก ๆ แล้วตอนที่รออยู่โถงกลางสตูดิโอก็จะมีพี่ดารา พิธีกรเดินผ่านมา เราก็เห็นว่าตัวจริงหน้าเค้าเล็กเนาะ ขาวจังเลย อยากเป็นเหมือนเค้า แล้วพี่ ๆ เค้าไม่เดินคนเดียวด้วย เค้าจะมีคนถือกระติกน้ำตามบ้าง มีทีมงานที่ใส่เฮดเซ็ทเดินตามคอยบอกทาง เห็นแล้วมันกลายเป็นแรงบันดาลใจว่าอยากเป็นแบบพี่ ๆ บ้าง”จุดเริ่มต้นบนเส้นทางเชียร์ลีดเดอร์“พอจบ ม.3 หนูตั้งใจจะสอบเข้า ม.4 ที่โรงเรียนในจังหวัดอุบลราชธานี เพราะอยากย้ายมาเรียนในตัวจังหวัด แล้วต้องตัดสินใจเลือกว่าจะเรียนที่ไหนดี มันจะมีโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช ซึ่งเป็นโรงเรียนที่สอบเข้ายากมาก ใครจะเข้าเรียนต้องเป็นคนที่เรียนเก่ง แล้วมีอีกโรงเรียนคือโรงเรียนนารีนุกูล ซึ่งเวลามีกีฬาของโรงเรียนในจังหวัด เชียร์ลีดเดอร์ของโรงเรียนนารีนุกูลชอบชนะได้ที่ 1 ตลอด แล้วคลิปเชียร์ลีดเดอร์ของโรงเรียนนี้ยอดวิวสูงมากใน Youtube หนูก็เลยรู้สึกว่าอยากไปอยู่โรงเรียนนี้จัง แล้วก็ตั้งเป้าว่าจะสอบเข้าให้ได้เพราะอยากจะเป็นหลีดมือ จนสุดท้ายมันมีการสอบรอบความสามารถพิเศษ หนูก็สอบโดยใช้ความสามารถด้านร้องเพลงไปสอบเข้า แล้วก็สอบติดที่โรงเรียนนารีนุกูล ได้เป็นนักเรียนทุนแล้วร้องเพลงให้โรงเรียนได้ไม่กี่เดือน ก็ลาครูไปเป็นเชียร์ลีดเดอร์ ทั้ง ๆ ที่เป็นนักเรียนทุน กลายเป็นหลีดมือที่โรงเรียนนั้น แล้วหนูก็ได้เป็นหลีดมือทุกปี แล้วก็เป็นเชียร์ลีดดิ้งของโรงเรียนด้วย ได้ไปแข่งที่สหรัฐอเมริกา และ สิงคโปร์ ด้วยต้องบอกว่า เชียร์ลีดเดอร์ คือกิจกรรมในโรงเรียน ที่หนูชอบและสามารถทำได้ แต่จริง ๆ แล้ว ความฝันของเราคือการได้เข้ามาอยู่ในวงการบันเทิง ซึ่งระหว่างที่หนูเป็นเชียร์ลีดเดอร์ ถ้ามีโอกาส มีการจัดออดิชั่น หนูก็ไปตลอด หรือถ้ามีประกวดร้องเพลง หนูก็ไปประกวดทุกที่ อย่าง The Star หรือ AF หนูไปมาหมดแล้ว และก็เคยประกวดดีเจด้วย เป็นคลื่นวิทยุที่อุบลราชธานี แล้วใครที่ได้เป็นดีเจ จะกลายเป็นเน็ตไอดอล แล้วจะดังมากในภาคอีสาน หนูก็รู้สึกว่าอย่างโด่งอยากดัง ก็เลยลองไปออดิชั่นดู แล้วก็เข้ารอบ 10 คน จากนั้นทางคลื่นก็ให้โหวต แล้วหนูก็ได้เข้ารอบจนได้เป็นดีเจ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ทำให้หนูพูดเก่งขึ้นมากเลยค่ะ”การประกวดที่ต้องคอยแอ๊บ“ในตอนที่หนูประกวดหลาย ๆ เวที มันลำบากใจมากเลย เพราะว่าช่วงนั้นเรื่อง LGBTQ+ มันยังไม่เปิดกว้าง เราต้องพยายามแอ๊บแมนตลอด เวลาแนะนำตัวต้อง สวัสดีครับ ผมนินจาครับ วันนี้จะมาร้องเพลงครับ แบบนี้ตลอดแล้วมันไม่มีความสุข จริง ๆ เรามีศักยภาพ แต่พอไปถึงตรงนั้นแทนที่เราจะกังวลว่า เราจะร้องเพลงเพี้ยนไหม เราจะเต้นผิดไหม แต่เราดันต้องกังวลว่ากรรมการจะจับได้ไหมว่าฉันเป็นตุ๊ด มันวนอยู่ในหัวตลอดเวลา นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ไม่ผ่านเข้ารอบด้วย เราอาจจะไม่มีความสุขจนมันดูเกร็งไปหมดเวลาประกวดแล้วผิดหวัง มันก็ท้อนะคะ แต่หนูก็ไม่เคยถอย หนูจะบอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไร ยังไม่ใช่ช่วงจังหวะของเรา เราไม่ได้เวทีนี้ก็ไปเวทีหน้า หลาย ๆ รอบที่ไม่สามารถเข้ารอบได้ ในใจตอนนั้นก็คิดว่าเป็นเรื่องของเพศสภาพด้วย เรารู้สึกว่าสังคมมันยังไม่เปิดกว้าง แม้กระทั่งครูสอนร้องเพลงของหนูเอง ก็สอนเราเลยว่าเวลาไปออดิชั่นต้องเก๊กแมนนะ กรรมการเค้าไม่ชอบ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่ได้เข้ารอบนะ มันเลยกลายเป็นแรงกดดันในใจ ปกติเวลาหนูจะเต้น หนูเต้นไลน์ผู้หญิงคมมาก แต่สุดท้ายพอไปถึงตรงนั้นหนูก็ไม่สามารถเต้นได้เต็มที่แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ที่หนูมีได้ หนูก็พยายามฝืนเต้นให้มันเป็นไลน์ผู้ชาย จนมันขาดเสน่ห์และอาจจะไม่เข้าตากรรมการตอนนั้น มันเลยยังไม่ไปถึงฝันสักที”จากเชียร์ลีดเดอรสุดจึ้ง สู่นักเต้นคัฟเวอร์สุดต๊าช“หนูเริ่มเต้นคัฟเวอร์ช่วงประมาณ ม.5 ค่ะ ช่วงนั้น T-POP ดังมาก เด็กนักเรียนที่รักในการเต้นทุกคนก็ต้องเต้นคัฟเวอร์ แล้วเพื่อนที่เป็นเชียร์ลีดเดอร์ก็เริ่มไปเต้นกัน ซึ่งตอนแรกหนูก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ แต่พอมันเริ่มดังขึ้น หนูก็เลยไปลองเต้นดู แล้วรู้สึกว่ามันมีเสน่ห์ เพราะด้วยความที่เราอยากเป็นศิลปิน แล้วเวลาเต้นคัฟเวอร์ เราได้สมมติตัวเองว่าฉันคือไอดอลคนหนึ่ง มันเหมือนเป็นการฝึกการเป็นศิลปินบนเวทีไปด้วยในตอนแรกหนูไม่เต้นเพลงผู้หญิงเลย หนูเต้นเพลงผู้ชายตลอด เพราะว่าคนกรี๊ดวงผู้ชายเยอะกว่าด้วย แล้วเราก็คิดว่าถ้าเราได้เปิดตัว ส่วนมากวง LGBTQ+ คนไม่ค่อยกรี๊ด ก็เลยเต้นเพลงผู้ชายมาตลอด จุดที่เริ่มเต้นเพลงผู้หญิงคือ ตอนนั้นหนูเข้ามาในกรุงเทพ แล้วมีคนชวนว่าลองคัฟเวอร์เพลงผู้หญิงไหม หนูก็ตัดสินใจว่าลองก็ได้ตอนนี้พร้อมแล้ว ซึ่งพอเต้นครั้งเดียวเท่านั้น พอลงคลิปในโซเชียล คลิปนั้นยอดวิวประมาณ 5 ล้านวิวเลย แล้วคนก็ชอบกว่าตอนที่หนูเต้นเพลงผู้ชาย เลยกลายเป็นสิ่งที่ทำให้หนูยอมเปิดใจ คัฟเวอร์เพลงผู้หญิงจนกลายเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของตัวเองหนูเต้นคัฟเวอร์ประมาณ 3-4 ปี ซึ่งกลายเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้กับหนู พอหนูเข้ามาอยู่ในกรุงเทพ ก็ได้อยู่ทีมคัฟเวอร์ที่เคยเป็นแชมป์โลกมาก่อน แล้วก็เป็นทีมที่มีชื่อเสียงในประเทศไทยแล้วหนูได้มาอยู่ทีมนี้ ได้ฝึกการเต้นมาเรื่อย ๆ จนเริ่มมีงานจ้าง แล้วก็ได้ไปเต้นตามที่ต่าง ๆ กลายเป็นอาชีพหลักของหนูเลย แล้วหลังจากที่หนูเข้ามาอยู่กรุงเทพหนูก็ได้เป็นแดนเซอร์ ถ้าอย่างคอนเสิร์ตใหญ่ ๆ อย่าง พี่ใหม่ พี่เบิร์ด พี่มอส พี่ทาทา หนูเคยเต้นให้หมดทุกคนเลย ส่วนมากหนูชอบไปเต้นแบบคาสเซ็ท เต้นเยอะมากจนรู้จักทุกเพลง ถ้าอย่างศิลปินต่างประเทศก็จะมี Got7 ตอนที่ แบมแบม มีแฟนมีตที่เป็นคอนเสิร์ตในไทย 4 ภาค หนูก็ไปเป็นแดนเซอร์ บินกับ แบมแบม ทุกภาคเลย เป็นช่วงการทำงานที่ตื่นเต้นและดีใจมากค่ะ”จุดเริ่มต้นของ 4MIX วงสุดชิค ที่กล้าเป็นตัวเองอย่างเต็มที่“4MIX ก็มาจากทีมที่คัฟเวอร์นี่แหละค่ะ ตอนนั้นพวกเรามีเพจ แล้วสมาชิกทุกคนมีรหัสเพจหมด ก็เหมือนเป็นแอดมินกันหมด วันหนึ่งก็มีค่ายเพลงติดต่อมาในเพจว่า เค้าอยากจะเริ่มทำ วง T-POP เค้าก็เลยถามว่าสนใจมาเป็นศิลปินไหม แล้วชวนไปออดิชั่น ตอนนั้น น้องแม็กก้า ก็ไปเห็นข้อความ แล้วก็มาถามเพื่อนในวงว่ามีใครอยากเป็นศิลปินบ้าง ไปออดิชั่นกันไหม เราก็รวมกันไปออดิชั่นที่ค่าย 4 คน แล้วก็ได้วันนั้นเลย 4 คน มี นินจา, จอร์จ, แม็กก้า แล้วก็ โฟล์คซองเรื่องการยอมรับตัวตนของนินจาจากสมาชิกในวง ต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่หนูโชคดีมาก แล้วก็ทำให้ 4MIX มาถึงตรงนี้ได้ เพราะว่าน้อง ๆ สมาชิกในวงทั้งสามคน ทุกคนเปิดรับหมดเลย ด้วยความที่อาจจะอยู่ทีมด้วยกันมาตั้งแต่แรก เพราะมาด้วยกันทั้ง 4 คน แล้วก็ทุกคนไม่รังเกียจ จนกลายเป็นเรื่องธรรมดา เรานอนด้วยกัน กินด้วยกัน นอนกอดกัน ทุกอย่างธรรมดามาก มันก็เลยยิ่งทำให้หนูมั่นใจที่จะแสดงทุกอย่างออกไป เหมือนครอบครัวเรามันแน่นแล้ว เพราะฉะนั้นแม้จะมีคนมาคอมเมนต์ หนูก็เลยไม่ค่อยสนใจ ถ้าคนในวงไม่ได้อายที่หนูเป็นแบบนี้ หนูก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอายในความเป็นตัวเองเหมือนกันด้านค่ายก็ค่อนข้างเปิดกว้าง มันจะมีแค่ช่วงแรก ๆ ที่เราไม่ได้คุยกันแบบละเอียด ก็จะมีผู้ใหญ่ บางคนที่มีกรอบในการแสดงออกของนินจาบ้าง แต่ว่าผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ก็จะบอกว่าหนูสามารถเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่เลย เราเลยวางแนวทางกันว่า 4MIX จะเป็นบอยแบนด์ที่ใส่เสื้อผ้าแบบ UNISEX บวกกับหนูที่ไม่ได้ปิดกั้นตัวเองเลย หนูเป็นตัวเองอย่างเต็มที่เลย”ผลตอบรับหลังจากเปิดตัววง 4MIX บอยแบนด์ LGBTQ+ วงแรกของไทย“ช่วงเพลงแรกที่เปิดตัว หนูโดนคอมเมนต์เยอะอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะใน Tiktok นี่คือคอมเมนต์ถล่มเลย ทำไมบอยแบนด์เป็นแบบนี้ ทำไมไม่แอ๊บเลย ประหลาดไปกันใหญ่แล้วประเทศไทย ไม่แอ๊บแบบนี้มีแฟนคลับเหรอ เค้าตามแค่ผู้ชายหล่อๆ นะหนู เจอคอมเมนต์ทำนองนี้เยอะมาก แต่ตอนนั้นหนูก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะวงเราเหมือนเตรียมใจคุยกันมาแล้วว่าเราจะโฟกัสแค่คอมเมนต์ที่ติเรื่องความสามารถ อย่าง ร้องไม่ดี หรือเต้นไม่ดี แบบนี้เรากลับมาคิดและปรับปรุงได้ แต่ถ้ามาติเรื่องเพศ พวกเราจะไม่สนใจเลย เช่น มีคอมเมนต์ว่าร้องเพลงเพราะนะแต่เป็นกะเทย แค่นั้นหนูก็หัวเราะดีใจแล้ว เพราะอย่างน้อยเค้าก็บอกว่าหนูร้องเพลงเพราะตอนที่เปิดตัวว่า 4MIX เป็นบอยแบนด์ LGBTQ+ วงแรกของไทย ตอนนั้นหนูดีใจ แล้วก็ตื่นเต้น ที่เกิดเป็นกระแส และทุกคนพูดถึงวงเรา ดีใจกับสิ่งที่เราทำมามันเกิดขึ้นแล้ว แม้ว่าก่อนเดบิวต์คนด่าเยอะ แต่พอเดบิวต์แล้วเหมือนกับว่าพวกเราทำถึง บวกกับจังหวะเวลาและสังคมที่ชื่นชมเราหมดเลย แทบจะไม่มีใครตำหนิเลย พวกเราดีใจมากที่บ้านก็ดีใจมากเช่นกัน ตอนนี้แม่มีความสุขมากเพราะว่าเค้าเป็นคนที่พาหนูไปออดิชั่น พาไปประกวดตลอด พอมาถึงตรงนี้ได้แม่ก็ดีใจมาก ช่วงหลัง ๆ เวลากลับบ้านแล้วหนูอยากอยู่บ้านมาก แต่แม่ก็จะบอกว่าไปนี่กับแม่หน่อย มาโรงเรียนแม่หน่อย พบปะประชาชนหน่อย ก็ต้องไปโชว์ตัวบ่อยมากค่ะ”4MIX กับปรากฎการณ์ดังชั่วข้ามคืน“หลังจากที่ปล่อยเพลง Y U COMEBACK เป็นเพลงเดบิวต์เพลงแรก พอปล่อยออกมาคืนแรกยังปกติอยู่ คนก็ดูปกติแบบไม่ได้เยอะมาก แต่พอหนูหลับไปแล้วตื่นขึ้นมา Instagram มีแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาเป็น 2-3 พัน แล้วยอด Follow ของหนูเพิ่มขึ้นเยอะมาก แต่ไม่มีภาษาไทยเลย มีแต่คอมเมนต์ที่เป็นภาษาละตินล้วน เป็นคนบราซิล เม็กซิโก อเมริกาใต้ มาคอมเมนต์กันหมด เหมือนเปลี่ยนชีวิตภายในชั่วข้ามคืนเลย น่าตกใจมากค่ะหนูคิดว่าด้วยสไตล์เพลงของวงเรา ที่จะเป็นจังหวะหนัก ๆ สนุก ๆ แบบที่ละตินชอบ บวกกับเรื่อง LGBTQ+ ด้วย เหมือนฝั่งละตินชอบฟังเพลงเกาหลี ซึ่งก็จะเป็นเกาหลีแบบบอยแบนด์ หรือเกิร์ลกรุ๊ปไปเลย แล้วที่บราซิลหรือที่ละตินอเมริกามีศิลปินที่เป็น LGBTQ+ ที่ดังเยอะมาก แล้วพอวงเราปล่อยพลงในสไตล์ที่เค้าชอบ บวกกับเป็นวง LGBTQ+ ด้วย เค้าก็เลยชอบ แล้วช่วงนั้นมีช่องรีแอคชั่นของฝั่งละติน ซึ่งเป็นช่องใหญ่มารีแอคเพลงเรา เกิดเป็นการรีแอคต่อกันเป็นพันคลิป มันก็เลยกระจายเป็นวงกว้างในฝั่งละตินค่ะซึ่งในบรรดาเพลงทั้งหมดของ 4MIX หนูชอบเพลง ROLLER COASTER ที่สุด มันเป็นเพลงที่ 2 หลังจาก Y U COMEBACK เพราะหนูรู้สึกว่า ทำนองเพลงมันดี แล้วหนูมีส่วนร่วมการคิดในทุกส่วนของเพลงนี้ หนูเป็นคนออกแบบท่าเต้นทั้งหมด แล้วคนก็เต้นตามใน Tiktok เยอะมาก ก็เลยเหมือนเป็นอีกผลงานที่ประทับใจค่ะ”เมื่อ 4MIX พา T-POP ดังไกล กับคอนเสิร์ต ‘4MIX UNIX MEXICO’“พอเพลง Y U COMEBACK ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ๆ สถานทูตเม็กซิโกก็ติดต่อมาว่า อยากให้วงเราไปแสดง แล้วเรากับค่ายก็ตกลงกันว่าไป สุดท้ายเราบินไป ซึ่งทีแรกเราก็คิดว่าคนดูคงประมาณ 500 คน เพราะใครจะมาดูด้วยตอนนั้นมีสถานการณ์โควิด-19 ช่วงที่เราบินไปมันไม่มีคนไทยออกนอกประเทศเลย มีการตรวจเข้มมากกว่าจะเข้าไปถึงเม็กซิโกได้ในวันที่ต้องเล่นคอนเสิร์ต พวกเราเจ็ทแล็กอยู่ คอนเสิร์ตเราจะเริ่ม 6 โมงเย็น แต่ว่าเราตื่นกันตั้งแต่ตี 5 แต่พอส่องใน Instagram เราเห็นแฟนคลับไปรออยู่หน้าเวทีแล้ว ตอนนั้นเพิ่งจะ ตี 5 แต่โชว์เริ่ม 6 โมงเย็น จน 11 โมง ต้องไปบล็อกกิ้ง ปรากฏว่าคนรอเต็มหน้าเวทีเลย ประมาณ 500 คนแล้ว จนใกล้ถึงเวลาโชว์ พี่ทีมงานก็บอกว่ารถตู้ที่จะมารับพวกเรามาช้า เพราะตอนนี้ที่งานคนเยอะมาก และสถานการณ์มันควบคุมไม่ได้ พวกเราเข้าทางหน้างานไม่ได้ จนเราต้องอ้อมเข้าไปด้านหลังห้าง กว่าจะเข้าไปได้ก็ชุลมุนมากเลย ตอนนั้นมันทั้งดีใจ แล้วก็ช็อคด้วย พี่ทีมงานบอกว่า 4MIX อย่าเพิ่งขึ้นเวทีเพราะว่าคนเค้าจะเหยียบกันตาย พวกเราก็กลัว แล้วมันมีคนเป็นลมเยอะมาก จนทีมงานถามกันว่ายกเลิกไหม เพราะมันคุมคนไม่ได้จริง ๆ จากที่งานรับคนได้สูงสุดแค่ 500 คน แต่ตอนที่พวกเราจะขึ้นโชว์ มีคนประมาณ 4,000 คน จนทีมงานปรึกษากันอยู่ราวครึ่งชั่วโมง แล้วตัดสินใจให้พวกเราขึ้นโชว์ แต่ก็ร้องไม่ครบทุกเพลง แล้วต้องรีบลงเพราะคนเยอะมาก ตื่นเต้นและประทับใจมากเลยค่ะตอนขึ้นโชว์หนูดีใจที่คนรู้จัก 4MIX เยอะ และความฝันของหนูคืออยากไปทัวร์ระดับโลกให้ได้ อยากเป็นศิลปินระดับโลก แบบที่ว่าทุกคนพูดถึง 4MIX จากทั่วทุกมุมโลก อยากขึ้น Grammy Awards อยากไปอยู่จุดนั้นเพื่อเป็นชื่อเสียงให้ประเทศ แล้วก็เป็นชื่อเสียงให้ตัวเองด้วย เติมเต็มความฝันตัวเองด้วยค่ะ”เปิดสเปค ส่องความรักของ นินจา 4MIX“หนูไม่เคยมีแฟนเลยค่ะ เกิดมา 26 ปี ไม่เคยได้มีคนไปดูหนังด้วยกัน จับมือกัน หนูไม่เคยมีเลยแม้แต่คนเดียว เสปคหนูชอบคนที่แขนขายาว มีความเป็นนายแบบ ผอม ๆ แบบหน้าเอเชียที่จริตเป็นอเมริกา พูดภาษาอังกฤษคล่องมาก ถ้าในไทยคือแบบ พี่เน PERSES คนนี้หนูชอบเค้า หนูจีบเค้าใน Instagram ทุกวันเลย แล้วพี่เค้ารู้ตัวค่ะ ทุกคนรู้ แฟนคลับรู้ เค้าก็ปล่อยให้หนูมีความสุขไป แล้วหนูแค่มองเค้าก็มีความสุขแล้วค่ะ”หลังจากเล่าสเปคจบ ก็ได้มี 1 สายสุดเซอร์ไพรส์ ที่โทรเข้ามาสร้างสีสันพร้อมส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับ นินจา นั่นคือสายของ เน PERSES โดย เน ได้พูดถึง นินจา ว่า “ติดตามอยู่นะ ทั้ง นินจา ทั้ง 4MIX เลย เป็นวงที่เท่มาก ๆ แล้ว นินจา ก็มีความมั่นใจในความเป็นตัวเองแล้วมันเท่มาก ๆ อยากให้ นินจา มั่นใจในตัวเองแบบนี้เยอะ ๆ ชอบมาก ๆ ครับ”ส่วน นินจา ก็ได้พูดความรู้สึกกับ เน ว่า “ติดตามผลงานของ PERSES อยู่ตลอดค่ะ ตอนนี้ PERSES พัฒนามาไกลมาก จริง ๆ แล้วสมาชิกในวงของเราเป็นเพื่อนกันหมดเลย แล้วก็รู้จักกันตั้งแต่ก่อนจะมาเป็น PERSES ด้วย แล้วก็ดีใจที่ PERSES มีแฟนคลับเยอะมากแล้วก็เก่งมาก ๆ ส่วน พี่เน หนูก็เห็นมาตั้งแต่เป็นนายแบบ แล้วการร้องการเต้นตอนนี้ พี่เน เก่งและสุดยอดมาก แล้ววงเค้าซ้อมกันทุกวันเลย พัฒนาตัวเองไม่หยุดเลย เก่งมาก ๆ เลยค่ะ หนูก็จะพยายามซ้อมบ่อย ๆ เหมือนกันค่ะ”เพราะครอบครัวคือแรงสนับสนุนที่สำคัญ“หนูอยากขอบคุณพ่อกับแม่มากที่สนับสนุนหนูมาตลอด ขอบคุณที่สนับสนุนทุก ๆ การเดินทาง แล้วก็ไม่เคยปิดกั้นหนูเลย แม้กระทั่งตอนนี้ที่เป็น 4MIX หนูขออะไรถ้าแม่มีแม่ให้หมด ขอบคุณที่เชื่อในความฝันของหนูด้วย เพราะว่าตอนนั้นพูดไปใครก็ไม่เชื่อหรอกว่าหนูจะมาอยู่จุดนี้ได้ แต่สุดท้ายหนูก็มาอยู่ตรงนี้แล้ว และพ่อกับแม่คือส่วนสำคัญมาก ๆ ขอบคุณที่พามาอยู่ตรงนี้นะคะ แล้วหนูก็จะทำให้ดีที่สุดค่ะหนูอยากจะฝากถึงหลาย ๆ ครอบครัว อยากให้คุยกันเยอะ ๆ คำว่าความฝัน มันคงไม่สามารถจับต้องได้ภายในวันนี้หรอกค่ะ เพราะมันเป็นสิ่งที่อยู่ในอนาคต ถ้ารู้ว่าลูกทำอะไรได้ ลูกเราชอบอะไร อยากให้สนับสนุน หากมันไม่ได้ไปทำร้ายใคร หรือไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน เพราะครอบครัวเป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญที่สุด อยากให้สนับสนุนลูก ๆ ทุกคนที่ความฝันนะคะ”คำขอบคุณ จาก นินจา 4MIX“นิจา อยากขอบคุณทุกคนที่ช่วยกันติดตาม แล้วก็ซัพพอร์ต 4MIX มาตลอด ไม่ว่าเราผ่านอะไรมา แต่ทุกคนก็ยังรักแล้วก็สนับสนุนพวกเรามาตลอด แล้วก็ขอบคุณทุกคนที่ซัพพอร์ต นินจา ในแบบที่เป็น นินจา ด้วย ทุกคนคือกำลังใจที่สำคัญมาก ๆแล้วก็ขอบคุณสังคมที่มันมาได้ไกลขนาดนี้ เพราะทุกวันนี้ศิลปินหลาย ๆ คน ในการไปออดิชั่นหรือการเดบิวต์ออกมา เห็นหลายคนมากที่เค้าเป็นตัวของตัวเองแล้วจริง ๆ อยากให้ทุกคนสนับสนุนทั้งตัว นินจา แล้วก็ทุกคนทุกเพศที่มีความฝัน เรารักใคร ก็อยากให้สนับสนุนเค้ากันเยอะ ๆ ค่ะ” - นินจา จารุกิตต์พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

21 มี.ค. 2024

เปิดชีวิตที่ไม่อิงบท ของ “พชร์ อานนท์” ผู้กำกับที่บันทึกประวัติศาสตร์ฉบับย่อ ผ่านจักรวาลหอแต๋วแตก

เปิด Club แชร์เรื่องราวสีสันชีวิต พร้อมแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ ที่มีโอกาสเปิดไมค์ต้อนรับแขกเชิญสุดพิเศษ “พชร์ อานนท์” ผู้ที่มีหลากหลายฉายา ทั้งบรรณาธิการมือโปร, นักปั้นมือทอง, ผู้กำกับหนังกะเทย, ผู้กำกับร้อยล้าน ฯลฯ ที่การันตีว่าเขาเป็นผู้กำกับที่มีรายชื่อหนังภายใต้ฝีมือมากที่สุดในแวดวงหนังไทย ที่มาพร้อมเอกลักษณ์ที่รู้จักกันดีในเรื่องของความสด แบบคิดบทพูดกันตรงหน้าฉาก ไม่มีการเขียนสคริปต์ก่อนเหมือนหนังทั่วไป ซึ่งกวาดรางวัลอันทรงคุณค่ามานับไม่ถ้วน กว่าจะประสบความสำเร็จได้ในวันนี้ เขาผ่านเรื่องราวอะไรมาบ้าง รวมถึงมีหลากหลายข้อคิดแรงบันดาลใจ ที่ได้แชร์เอาไว้ในรายการอีกด้วยย้อนวัยใส ของ ด.ช.พชร์ อานนท์“ไม่เคยคิดเลยว่าวันนี้จะได้เป็นผู้กำกับ เพราะว่าแต่ก่อนตัวเองเป็นเด็กบ้านจน เราโตจากสลัมซอยนานา ที่มันเป็นทางด่วนแถวเพลินจิต แล้วอยู่มาวันหนึ่งเขาไล่ที่เพราะจะมีการทำทางด่วน ที่บ้านก็พากันย้ายไปอยู่สำโรง ในซอยแบริ่ง แล้วก็เวลาเรียนหนังสือ ป.1 - ป.4 เราก็ช่วยที่บ้านหาเงินไปด้วย ตอนนั้นคุณพ่อรับจ้างก่อสร้าง พอเราขึ้น ม.1 ก็เริ่มทำงานรับจ้างหาเงินไปด้วย ขึ้น ม.6 ก็เริ่มเป็นกระเป๋ารถเมล์, ขายเรียงเบอร์ หรือเป็นพนักงานเสิร์ฟ พอจบ ม.6 ก็คิดว่าจะไปเอ็นทรานซ์คณะอะไรดี แม้จะรู้ว่าถ้าเรียนมหาวิทยาลัยต้องใช้เงินเยอะ แต่เราก็ลองไปสอบดูเพราะเขาต้องให้สอบเอ็นทรานซ์ทุกคนอยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่มีเงินเรียนก็เลยไปทำงานที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ เป็นพนักงานเสิร์ฟเวลาเขามีงานจัดเลี้ยง ทำงานได้วันละประมาณ 80 – 100 บาท ก็ทำไปเพราะต้องใช้เงิน”จุดเริ่มต้นบนเส้นทางบรรณาธิการ“ในตอนที่ทำงานที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ มีวันหนึ่งพอเลิกงาน 5 ทุ่มเราก็เปลี่ยนใส่ชุดนักเรียนกลับบ้าน ซึ่งมันต้องเดินผ่านบางกะปิเทอเรซ ไปขึ้นรถเมล์ตรงข้างหน้าโรงแรมโรงแรมแอมบาสซาเดอร์ แล้วพอเราเดินผ่านก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาคุยกับเรา แล้วก็ชวนเราไปถ่ายแบบ ไปถ่ายแนะนำตัว ตอนนั้นหนังสือนิตยสารต่าง ๆ มันต้องมีการให้ถ่ายแนะนำตัวก่อน เราก็ไปถ่าย จนเริ่มพูดคุยสนิทสนมกับทีมงาน เราก็บอกพี่ ๆ ทีมงานว่าอยากทำงาน เขาก็ถามว่าหาโฆษณาเป็นไหม แล้วก็ให้ลองไปหาโฆษณาลงหนังสือแต่ละหน้า เราก็เลยได้เริ่มเป็นเซลล์ขายโฆษณาในหนังสือก่อน แล้วก็ทำสไตลิสต์หาเสื้อผ้ามาถ่ายแบบให้กับหนังสือ เมื่อพ.ศ.2527 ทำมาสักพักตอนนั้นมันจะสอบอยู่แล้ว ซึ่งเราได้เงินเดือน 14,000 บาท ซึ่งเยอะมาก เราก็ตัดสินใจว่าจะไม่เรียนแล้ว แต่ก็ลงเรียนที่ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เอาไว้ ก็ไปเรียนแต่ก็ไม่จบ จากนั้นพอเราทำงานอยู่ประมาณ 2 ปี บรรณาธิการคนเก่าเขาลาออก พี่ ๆ ก็ถามเราว่าสนใจเป็นบรรณาธิการบริหารไหม เราก็ตกลงรวบตึงเป็นบรรณาธิการจนถึงปีพ.ศ. 2529 แล้วสมัยนั้นนายแบบนางแบบมันก็เริ่มถ่ายวนไปวนมา เราก็เลยตั้งใจว่าไปหาเด็กใหม่ดีกว่า ซึ่งเป็นเล่มแรกเลยที่หาเด็กใหม่มาถ่าย จน พ.ศ 2533 ก็ไปเจอ มอส ปฏิภาณ เต๋า สมชาย โมทย์ ปราโมทย์ ซึ่งเราไม่ใช่แมวมองหรอก เพราะต้องการคนมาถ่ายหนังสือมากกว่า เราไม่ใช่โมเดลลิ่ง แล้วเราก็ได้น้องพวกนี้มา”จากบรรณาธิการ สู่นักปั้นมือทอง“เรื่องเด็กที่เราหาสามารถอยู่ได้ยาวนานในวงการบันเทิง เราว่าเป็นดวงสมพงษ์กันมากกว่า อย่าง แอนดริว ทีแรกก็ไม่ยอมมา แต่เราก็ปั้นจนไปเป็นดารา อย่าง เต๋า ทีแรกก็สงสัยแล้วสงสัยอีกว่าเราเป็นใคร ตอนนั้น เต๋า เป็นคนเรียบร้อยมาก จะทำอะไรก็ต้องถามย่าก่อน อย่างตอนเจอ มอส ครั้งแรก ตอนนั้นมอสเป็นเด็กอุเทน แล้วพี่ก็แต่งตัวแบบกางเกงยีนส์ เสื้อขาวเซอร์ ๆ มอสเลยคิดว่าพชร์เป็นจิ๊กโก๋ คิดว่าเราจะหาเรื่อง เราก็เลยให้ผู้หญิงไปขอเบอร์ เพราะว่าเราก็กลัวตอนนั้นเค้าอยู่กันเป็นกลุ่ม ๆ พอได้เบอร์มาเราก็โทรไปคุยซึ่งการเลือกว่าจะปั้นใครคือถ้าเห็นจะรู้เลยว่าคนนี้ใช่รึเปล่า แล้วเมื่อก่อนมันไม่มีศัลยกรรม ไม่มีฉีดโบท็อก ถ้าเราเห็นแววว่าหน้าตาดีเป็นดาราได้ก็จะเลือกมาปั้น ซึ่งเยอะมากในวงการ อย่างเช่น ออย ธนา, ฝันดี ฝันเด่น, มอส, เต๋า, โมทย์, โด่ง สิทธิพร, ต่อ ณัฐวัฒน์, อั้ต อัษฎา, ฟลุ๊ค เกริกพล อย่างผู้หญิงก็มี เต๋า สโรชา, ชาช่า อัลเทอร์เมท, หญิง ฌัชฌา, อั้ม ฐนิชาอย่างคำว่า แมวมอง เกิดจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐเขียนให้ นักปั้นมือทองแมวมองระดับประเทศ แต่เราไม่ชอบคำนี้ เพราะว่าเราคือบรรณาธิการบริหารเธอกับฉัน เราก็รู้สึกว่ามาเรียกแมวมองแล้วมันไม่ใช่ เราไม่ได้ทำโมเดลลิ่ง เพราะเราไม่ได้หาเงินเลย รับเงินเท่าไหร่เด็กก็รับกันไปเอง เราก็แค่คุยเรื่องราคาให้ เรามีเงินเดือนของเราอยู่แล้วตอนเป็นบรรณาธิการ แต่เราก็เป็นผู้มีอิทธิพลในวัยรุ่นสมัยนั้น เมื่อก่อนไปเดินสยามไม่ได้เลยเด็กเดินผ่านพยามยามให้เราเห็นเต็มไปหมดเลย แล้วเรารู้เลยว่าเด็กคนนี้พรีเซนต์ตัวเอง ซึ่งมันไม่ได้ไง ถ้ามันได้เราจะเดินเข้าไปหาเองอย่างตำนานบันไดหน้าสยาม มีอยู่จริง เพราะเราเจอ จอห์น ดีแลน ที่นั่น เพราะเขาประกวดเต้นเสร็จแล้วเขาก็ไปนั่งหน้าบันไดสยาม แล้วพวกพชร์ชอบนั่งเล่นกันเพราะว่าพวกวัยรุ่นสมัยก่อนเขาจะไปนั่งหน้าบันไดสยาม เราก็ชวนน้องไปเป็นดาราไหม น้องก็ตกลงก็ได้เป็นดารา แต่ปัจจุบันมันไม่มีแล้วเขากั้นไปหมดแล้ว ตอนนี้มันถูกจัดให้สวยไปแล้ว เมื่อก่อนมันจะเป็นบันไดธรรมดาแล้วรถเมล์ก็จะมาจอด คนก็จะมานั่งรอนั่งเล่น เป็นที่รวม ฝันดีฝันเด่น และ ออย ธนา พชร์ก็เจอที่นั่น”จุดเริ่มต้น ของผู้กำกับร้อยล้าน“ตอนนั้นพ.ศ.2535 ผมมีเด็กหลายคน แล้วทางบริษัทเขาก็อยากได้เด็กไปเล่นหนัง ก่อนหน้านั้นแก๊งมอส ที่เป็นเด็กปั้นเรา ก็เอาไปเล่นหนังให้บริษัท Five Star เรื่องสะแด่วแห้ว เรื่องนั้นเราไม่ได้ทำแต่พาเด็กไปเล่น ก็มีเด็กเราหมดเลย 5 คนเล่น เพราะตอนนั้นพวก กระโปรงบานขาสั้น ยังไม่มา แล้วหนังมันทำเงิน หลังจากนั้นเราก็พาเด็กไปเล่นหนัง ถ้าว่างจากทำหนังสือก็จะพาเด็กไป จากนั้นเจ้าของ Five Star ชื่อคุณเชน ที่เสียชีวิตไปแล้วเรียกเราเข้าไปคุยว่าสนใจเป็นผู้กำกับไหม ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่ได้สนใจ เพราะว่าตอนเรียนเราอยากเป็นคุณครู อยากสอนหนังสือเพราะว่าเราชอบ และเรื่องทำหนังเราไม่ได้เรียนมา ก็เลยปฏิเสธไป แต่ในตอนที่เราไปกับเด็ก เราก็ไปดูว่าเขาทำยังไง เขาเล่นยังไง ถ่ายยังไงแล้วเราก็ชอบ คอยจำว่าเขาถ่ายยังไง แสงมันมาตรงไหน นักแสดงเดินออกมายังไง หลังจากนั้น อาเปี๊ยก พิศาล ก็ชวนไปเที่ยวกอง แล้วก็ชวนเราไปเป็นผู้กำกับ เราก็บอกว่าได้ครับ เพราะอยากลองดู จากนั้นเราก็ไปเล่าให้เขาฟังว่าเราอยากทำเรื่องอะไร เพราะว่าตอนนั้นหนังเด็กนักเรียนมันเยอะ เราก็เลยไม่ทำหนังนักเรียน เลือกไปทำหนังแฟนตาซี ถ่ายประมาณปี พ.ศ.2538 พอปีพ.ศ.2539 ก็ฉายต้อนรับปีใหม่ ก็กลายเป็นหนังทำเงินสูงสุดของปีพ.ศ.2539 ซึ่งสมัยก่อนหนังทำรายได้ 60 ล้านบาท ก็เยอะแล้ว เพราะว่าค่าตั๋วมัน 70-80 บาทเอง แล้วหนังปีพ.ศ.2539 มีแต่หนังใหญ่ ๆ เต็มไปหมด แต่ของเราชนะที่ 1 ก็เลยได้เป็นหนังยอดเยี่ยม หนังทำเงินสูงสุดแห่งปี”หนังพี่พชร์ ไม่ต้องมีบท จริงไหม?“จริง ๆ มันก็ไม่มีตั้งแต่เริ่มเข้าวงการเลย ตั้งแต่เรื่อง สติแตกสุดขั้วโลก คนจะนิยมว่าถ้ามีบทที่ดีจะเป็นหนังที่ดี แต่เราไม่ชินกับการมีบท เราเคยเขียนบทมาแล้วปรากฏว่าถ่ายไม่ได้เลย เพราะว่าคนเขียนคนนึง คนกำกับคนนึง มันก็ไปคนละทาง เราก็จะไปกำกับตามจินตนาการของคนเขียนบทมันก็ไม่ใช่เพราะว่าเราจินตนาการว่าหนังเราต้องเป็นแบบนี้ เราก็ต้องคิดเอง ก็เลยทิ้งบทเลย หลังจากนั้นเรื่อง 18 ฝน ก็ไม่มีบท แต่การมีบทก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งจริง ๆ แล้วตามหลักมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเสมอไป มันแล้วแต่ความถนัดของแต่ละบุคคล โดยปกติถ้าหนังไม่มีบททำไม่ได้เพราะมันยาก ทุกคนต้องจดต้องจำอะไรที่เขียนมา แต่ของเรามันจำอยู่ในหัวอยู่แล้วโดยในการทำงาน เราจะไปสำรวจโลเคชั่นก่อน จากนั้นเราก็จะประชุมว่าสถานที่นี้จะเกิดอะไรบ้าง ก็จะเล่าให้ทีมงานฟัง แล้วมอบหมายว่าทีมงานไปหาปืนมานะ ไปหารองเท้ามานะ พอไปถ่ายเราก็ไม่มีบทเลย เราก็แค่บอกนักแสดงว่าใครเข้าฉากบ้างก็เล่นเลย โดยจะบอกนักแสดงก่อนถ่ายว่าจะพูดอะไรบ้าง แล้วเดี๋ยวจะมีนักแสดงหลักที่จะเติมบทให้แต่ห้ามนอกเรื่อง ซึ่งมันมีบทให้พูดให้จำอยู่แล้ว จากนั้นก็ช่วยเติมนิด ๆหน่อย ๆ แต่เค้าโครงของเรามันไม่ได้เขียนขึ้นมาเป็นกระดาษ มันอยู่ในหัวแล้ว ซึ่งมันไม่ได้ทำกันง่าย ๆ และก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองทำได้ยังไง แล้วก็เคยได้รางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วยนะ เรื่องเพื่อนกูรักมึงว่ะ ได้ไปเมืองนอกอย่างเรื่องเอ๋อเหรอ ได้รับรางวัลเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเมื่อก่อนเราไปเทศกาลหนังเยอะมาก แต่มันไม่ค่อยเป็นข่าว มันมีแต่ข่าว พชร์ อานนท์ ทำหอแต๋วแตก”คำด่าเชิงลบ ที่ไม่กระทบจิตใจแล้ว“ปกติเราเป็นคนอารมณ์ดีอยู่แล้ว เป็นคนตลก บ้า ๆ บอ ๆ แต่พอดีเราไม่ได้อยู่ค่าย เราไม่ได้มีแบ็คอัพ เราคือตัวคนเดียวตลอด และคนก็จะมองว่าเราดุ จริง ๆ แล้วมันก็คือการป้องกันตัวเองไม่ให้ใครมายุ่ง จนหลายคนมองเหมือนว่าเราดุ เราหวงเด็ก แต่จริง ๆ พชร์เป็นคนบ้า ๆ บอ ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำหนังตลกแบบนี้หรอกแล้วเมื่อก่อนมันไม่มีโซเชียล มันมีแต่พันทิป นั่นคือเริ่มเลย เข้าพันทิปก็จะเจอคนด่าทุกเรื่อง แต่เราก็เฉย ๆ ไม่สนใจ เพราะว่าหนังเราประสบความสำเร็จ ด่าไปเลย ยิ่งด่าหนังยิ่งดังไม่เป็นไร หลังจากนั้นพอเราทำหนังมีสาระ อย่าง 18 ฝนคนอันตราย คนก็เลิกด่าเราไปพักนึง พอมาเรื่อง ว๊ายบึ้ม เชียร์กระหึ่มโลก คนก็กลับมาด่าเราอีก โดนด่ามาตลอด แต่หมอดูเคยทักว่า เราเป็นคนที่ถ้าโดนด่าแล้วจะดัง ก็เลยคิดว่าด่าได้ด่าไปเถอะ ถ้าเราคิดมากคงไม่อยู่มาถึงทุกวันนี้หรอก”เปิดคลังหนังในดวงใจ ของ พชร์ อานนท์“หนังในดวงใจก็ชอบหลายเรื่อง อย่าง Life is Beautiful ที่เป็นหนังสงคราม เราชอบมากสมัยเด็ก ๆ หรืออย่าง Titanic ก็ชอบ เพราะว่าหนังยุค 90 มีหนังดี ๆ เยอะมาก อย่างเรื่อง Notting Hill เราก็ชอบมากเพราะรู้สึกว่าเค้าเก่งเรื่องเขียนบท ดูสามชั่วโมงยังไม่เบื่อเลย ส่วนตัวชอบหนังดราม่า หนังชีวิตคน หนังจริงจัง แต่พอได้ทำหนัง กลับเริ่มจากหนังตลก จนกลายเป็นผู้กำกับหนังตลก แต่พอได้ทำหนังดราม่าเราก็เต็มที่เลยอย่าง เอ๋อเหรอ หรือ 18 ฝน ก็ถือว่าเป็นหนังดราม่าจัด ๆ เลย เราชอบหนังแนวดราม่าอยู่แล้ว แต่พอได้ทำหนังจริง นาน ๆ ครั้ง นายทุนถึงจะให้เราทำดราม่า ส่วนใหญ่ก็จะได้ทำแต่ หอแต๋วแตกถ้าเป็นหนังที่ตัวเองทำ แล้วกลายเป็นหนังในดวงใจเลยก็คือเรื่อง เอ๋อเหรอ และ 18 ฝน เพราะเราได้ใช้ฝีมือเยอะ และเราถนัดหนังแบบนั้น ถ่ายกันสบาย ๆ แต่ถ้าเป็นเรื่อง เพื่อนกูรักมึงว่ะ เวลาเราถ่ายต้องรอเมฆ รอฟ้า รอฝน มันต้องรอหลากหลายองค์ประกอบ แต่เรื่องเอ๋อเหรอ หรือ 18 ฝน เรารู้สึกว่ามันง่าย ไม่ต้องมาเครียดที่จะทำให้คนหัวเราะ จริง ๆ ทำหนังดราม่าง่ายกว่ามาก เพราะเวลาทำหนังตลกเรื่องความขำของคนมันไม่เท่ากัน บางคนก็ไม่ตลกกับหนังของเราก็มี”จุดกำเนิดของ จักรวาลหอแต๋วแตก“ตอนนั้นเราทำหนังเรื่อง เพื่อนกูรักมึงว่ะ แต่อยู่ในช่วงรอเข้าฉาย แล้วเราก็ต้องหางานทำเรื่องต่อไป ตอนนั้นเราอยู่ สหมงคลฟิล์ม ก็นั่งคิดงานอยู่กับเสี่ยเจียง คิดชื่อแรกไปเสนอ เสี่ยเจียงก็บอกว่า ชื่อมันขายไม่ได้ เดี๋ยวคิดชื่อให้ใหม่ ทีแรกจะชื่อ โกยเถอะกะเทย เพราะตอนนั้นโกยเถอะโยมมันดัง เราก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นผมขอทำเรื่อง หอแต๋วแตก ดีกว่า แต่เสี่ยเจียงปฏิเสธว่าไม่ทำ เราก็เลยบอกว่า งั้นขอกลับไปทำที่เก่าดีกว่า ที่ Five Star เราก็กลับไปทำ แล้วเริ่มต้นด้วย หอแต๋วแตก ก็เล่าเรื่องให้ทีมงานฟัง ว่าเป็นเรื่องที่ กะเทยเป็นเจ้าของหอ อยู่ ๆ ก็มีคนตาย โครงเรื่องมีเท่านี้ เค้าก็ถามว่าต้องใช้งบเท่าไหร่ พอเราเสนองบไป เค้าก็ตกลงบอกว่าเอาเลยทำเลย เราก็เปิดกองเลย นัดคิวดารานักแสดง เราก็เลือก พี่จตุรงค์ โก๊ะตี๋ แล้วก็ชวน อาจารย์ยิ่งศักดิ์ เพราะตอนนั้นท่านก็ดังจาก คุยแหกโค้ง ส่วน พี่เอกชัย ตอนนั้นเค้าไม่ค่อยทำเพลง แต่เราเคยเห็นเค้าเล่นตลกแล้วแต่งเป็นกะเทยก็ลองติดต่อ แล้วพี่เอกชัยก็โอเค จนได้ครบสี่คน หาลูกพี่จตุรงค์คนนึง ก็ได้ อาโคย เป็นเด็กวัยรุ่นซื่อ ๆ พูดอีสาน จากนั้นก็เปิดกองเลย ตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่าจะถ่ายอะไร แต่เราหาโลเคชั่นได้แล้ว เราก็ให้ทีมงานเตรียมชุดมาเยอะ ๆ แล้วเริ่มปั้นทีละนิด เก็บทีละหน่อย จนมันสำเร็จเป็นหอแต๋วแตกตอนคุยกับนักแสดงเราก็พูดว่า เล่นเป็นเจ้าของหอสี่คน ตอนแรกเราก็นึกชื่อตัวละครกันไม่ออก แต่พี่จตุรงค์เค้ามีชื่ออยู่แล้วว่า แต๋ว เพราะเรื่องเกิดที่หอของเจ๊แต๋วไง แต่ โก๊ะตี๋ ยังไม่มีชื่อ แล้วตอนนั้น แพนเค้ก เขมนิจ กำลังดัง ก็เลยให้โก๊ะตี๋ชื่อแพนเค้กไปละกัน และช่วงนั้น มดดำ คชาภา ก็กำลังดังเหมือนกัน ก็ให้พี่เอกชัยชื่อมดดำ ส่วนเจ๊การ์ตูน ก็มาจาก การ์ตูน อินทิรา นั่นเองต้องบอกว่าคำว่า LGBTQ+ สังคมในยุคนั้นคนยังไม่สนับสนุนหรอก แต่คนก็มองว่า หอแต๋วแตก เป็นหนังตลกมากกว่า ตลกกะเทยมันเพิ่งจะกลับมา ก่อนหน้านั้นหนังกะเทยมันก็มี สตรีเหล็ก และต่อมาก็หนังของเรา คนก็มองว่าเป็นหนังตลก กะเทยแต่งตัวแปลก ๆ บ้า ๆ บอ ๆ แล้วก็สนุกสนาน แล้วตอนถ่าย ถ้าเค้าคิดอะไรได้เราก็พูด สำหรับหอแต๋วแตกทุกภาคที่ผ่านมา ภาคที่ประสบความสำเร็จที่สุด ก็คือ ภาค 2 ที่มีตัวละครอุษามณี ภาคนั้นได้ 100 ล้านบาท เฉพาะกรุงเทพได้ 70 ล้าน ต่างจังหวัดอีก 30 ล้านแล้วทุกครั้งที่มีภาคใหม่ ๆ เวลาติดต่อนักแสดง ก็มีคนอยากเล่นบ้าง ไม่เล่นบ้าง ตามสไตล์เค้า อย่างภาค 2 อาจารย์ยิ่งศักดิ์ ก็ไม่เล่น เราก็เอา แอนนา ชวนชื่น มาเล่น ซึ่งพออาจารย์ยิ่งศักดิ์ไม่เล่น เราก็เขียนบทให้เค้าไปเมืองนอกก่อน แต่พอเค้าตัดสินใจกลับมาเล่นทีหลัง เราก็เขียนบทไปว่า กลับมาจากเมืองนอกพร้อมผัวฝรั่ง ส่วน พี่แอนนา เค้าเล่นกะเทยไม่ได้ พอนักแสดงคนอื่นเค้าเล่นกัน พี่แอนนา เค้าก็ยืนหัวเราะ เราก็เลยให้ พี่ติ๊ก พา พี่แอนนา เข้าห้องแล้ว ก็ให้พี่ติ๊กออกมาคนเดียว แล้วก็เล่นมุก ใครฆ่าอารยา ทำให้พี่แอนนากลายเป็นศพอยู่ในห้องน้ำแล้วทิ้งปริศนาว่าใครฆ่าอารยา เพราะในเรื่อง พี่แอนนา ชื่ออารยา อย่างดีเจนุ้ย เค้าเป็นดีเจ ต้องจัดรายการทุกวัน แล้วมันหาคิวยาก เราก็จัดการปัญหาโดย ให้ ดีเจนุ้ย กับ ตั๊ก บงกช ใส่หมวกกันน็อคไว้ แล้วทำเป็นว่าหมวกกันน็อคมันมีระเบิด แล้วมีรถจอดอยูคันหนึ่ง ก็ให้ทั้งคู่เดินเข้าไปในรถ ปิดประตูอยู่เฉย ๆ แป๊ปนึงนะ พอถ่ายเสร็จก็บอกว่านุ้ยกลับบ้านได้เลย พี่ถ่ายเสร็จแล้ว หลังจากนั้นเราก็ให้ฝ่ายตัดต่อ ไปใส่ CG รถระเบิด ให้ดีเจนุ้ยตายอยู่ในรถ คิวดีเจนุ้ยก็เลยเคลียร์เสร็จ ไม่มีปัญหาละแต่มันก็มีตัวละครที่ตายไปแล้ว แต่ก็กลับมาได้เหมือนกัน อย่าง แพนเค้ก ช่วงนั้นภาค 6 ก็ทะเลาะกับโก๊ะตี๋ เลยให้มันตาย ๆ ไป ไม่ทำต่อแล้ว แต่พอหนังได้เงิน 100 ล้าน นายทุนให้เงินมาทำต่อ เราก็คิดว่าทำยังไงดี แพนเค้กมันตายไปแล้ว ก็เลย เอาให้มันโผล่ขึ้นมาจากบ่อน้ำ แล้วก็บอกว่า ยมทูตเค้าจับผิดตัว เค้าจับอีกแพนเค้กนึง ไม่ใช่แพนเค้กนี้ ทำให้ หอแต๋วแตก มันมีมาเรื่อย ๆ เจ้แต๋ว ก็อยู่กับเรานานมาก เพราะเป็นตัวหลักไงมันไม่ต้องตาย”หอแต๋วแตก แหกสัปะหยด กับตำนานตัดต่อเพิ่มเพียงข้ามคืน“ตอนนี้ หอแต๋วแตก แหกสะหยด เป็นหนังรายได้อันดับหนึ่งของปีพ.ศ. 2567 แต่ภาคนี้สนุกจริง คนส่วนใหญ่จะรอดูฉาก สุขุมวิท11 ซึ่งนัดกอง 1 ทุ่ม ถ่ายเสร็จประมาณ 5 ทุ่ม พอเสร็จก็เอาไปตัดต่อ ถึงมือตัดต่อประมาณตี 2 ตื่นเช้ามา 8 โมง มือตัดต่อบอกว่าเสร็จแล้ว เขาทำเร็วเพราะว่ามันชิน ทำมาประมาณ 32 ปีแล้ว ตั้งแต่ปีพ.ศ.2535 ทำตั้งแต่เรืองสติแตกสุดขั้วโลก มันก็เลยเป็นอะไรที่ไม่ได้ยากสำหรับพชร์แล้วพชร์ เป็นผู้กำกับตั้งแต่ปีพ.ศ.2535 อย่าง หอแต๋วแตก เราสามารถปั้นได้ โดยเอาเหตุการณ์ปัจจุบันมาใส่ ตอนแรกเราก็ไม่ได้คิด เราแค่ทำเพื่อให้ตัวเองทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้ตกยุค ก็เอาเรื่องนั้นมาใส่ เรื่องนี้มาเติม ผูกกันไปเรื่อยเพราะเราไม่ได้เขียนบท อย่างล่าสุดฉาก สุขุมวิท11 ตอนนั้นเพื่อนกำลังมิกซ์หนัง แล้วก็มีเพื่อนอีกคนโทรมาบอกว่า ดูสิมีมอันนี้กำลังมา เรื่องราวซอยสุขุมวิท 11 ที่กะเทยทะเลาะกัน เอาไปใส่ในหนังเลย แล้ววันนั้นเป็นวันที่ 4 ตอนกลางคืน แล้วหนังจะเข้าโรงภาพยนตร์วันที่ 14 ซึ่งมันไม่ทันแล้วเพราะหนังจะฉายแล้ว มิกซ์เสร็จต้องไปทำดนตรี ปรับเสียง ถ้าให้เติมคงไม่ทันแล้ว จากนั้นเราก็มานั่งไถฟีดในโซเชียล เลยเห็นว่าทำไมมันเยอะแบบนี้ แล้วมีแต่คนเชียร์ให้เราเอาไปใส่ไว้ในหนัง เราก็ตัดสินใจรับสมัครกะเทย 50 คน มาถ่ายฉากสุขุมวิท 11 เลย ซึ่งทีแรกหานักแสดงไม่ได้ แล้วเราดูรายการโหนกระแสอยู่ เลยติดต่อ พี่หนุ่ม กรรชัย ส่งข้อความไปหาพี่หนุ่มเพื่อขอเบอร์แขกรับเชิญหน่อย พชร์จะเอามาเล่นหนัง พี่หนุ่มบอกว่าเดี๋ยวจัดการให้ เขาก็เอาเบอร์มาให้เรา เราก็ให้ลูกน้องโทรติดต่อ จากนั้นก็ไปหาโลเคชั่นโลเคชั่น ทีแรกไปที่ สุขุมวิท 11 เขาไม่ให้ถ่าย เพราะมันยังอยู่ในรูปคดี เราก็ไปตระเวนหาเพิ่ม ก็ไปเจออยู่ที่หนึ่ง ตรงเดอะฮับ พหล-อารีย์ ก็ไปถ่ายตรงนั้น ให้โก๊ะตี๋ไปเล่นเป็นฟิลิปปินส์ แล้วให้พี่จตุรงค์เล่นเป็นคนไทยที่ไปช่วย เก็บรายละเอียดทุกเม็ด แล้วเราต้องส่งเซ็นเซอร์ ก่อนหน้านั้นหนังเราส่งเซ็นเซอร์ไปแล้วรอบหนึ่ง พออยากได้ฉากนี้เพิ่มเข้าไป ถ้าอย่างนั้นต้องเซ็นเซอร์ใหม่ เราก็ยอมส่งเซ็นเซอร์ใหม่ ดูตั้งแต่ต้นม้วนยันท้ายม้วนใหม่ แล้วก็เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น หอแต๋วแตก แหกสัปะหยด 11 ซึ่งก็คือสุขุมวิท11ตามระบบของการส่งเซ็นเซอร์ แล้วนักแสดงสมทบก็มาเกือบหมดเลย มีพี่ตุ้มนักมวย มาเป็นสาวไทยทำท่าชกมวย แต่วันที่เกิดเหตการณ์จริง พี่ตุ้มเขาไม่ได้ไป แล้วมีหลายคนจากเหตุการณ์จริง ก็มาอยู่ในหนังของเราด้วยซึ่งวิธีการของสอดแทรกฉากต้องมีอะไรเป็นลูกเล่น พอหนังเราจบก็เอาฉากนี้แทรก แล้วเราก็บอกว่า ข้อคิดดี ๆ จากหอแต๋วแตก แหกสัปะหยด สามัคคีคือพลัง หยุดความรุนแรง ทดแทนด้วยรอยยิ้มและความรัก เป็นห่วงนะ พชร์ อานนท์”เมื่อ ‘เจ๊แต๋ว’ โทรมาเซอร์ไพรส์กลางรายการมี 1 สายสุดพิเศษ ที่โทรเข้ามาแชร์เรื่องราวสุดประทับใจจากการถ่ายทำภาพยนตร์หอแต๋วแตก นั่นคือสายของ คุณจตุรงค์ มกจ๊ก ผู้รับบท เจ๊แต๋ว โดย คุณจตุรงค์ ได้แชร์ความประทับใจว่า “ตั้งแต่มีหอแต๋วแตกมา ชอบภาค 10 ที่สุด เพราะว่าภาคอื่นมันชอบให้ แพนเค้ก, เจ๊การ์ตูน และ เจ๊มดดำ พูดว่า เจ๊เห็นอย่างที่ฉันเห็นไหม, เจ๊ อย่าบอกนะ ว่าา!!! ซึ่งมันพูดแต่ประโยคนี้จนเราไม่อยากพูดประโยคต่อไป เราแบบเบื่อมาก ก็เลยชอบภาค 10 ที่สุด เพราะภาคนี้ มันประหลาด ภาคอื่นมันวิ่งอยู่กันแต่ในหอ แต่ภาคนี้มันไปเรื่อย ไปต่างจังหวัด ไปน้ำตก ไปวิ่งดงอ้อย ไปสุดมากเลย หอแต๋วแตก แหกสัปะหยด ภาคนี้คือต้องดูเลย เพราะมันแปลกที่สุด มันสนุก แล้วสถานที่เราไปถ่าย มันก็ออกมาสวยมาก” สีสัน แรงบันดาลใจ จาก พชร์ อานนท์“เราก็พยายามทำหนังออกมาให้มันดีที่สุด ทุกคนทำหนังเค้าก็ตั้งใจทำ บางครั้งหนังของเรามันอาจจะไม่ใช่รสชาติที่ถูกใจใครทั้งหมด แต่ก็ต้องเข้าใจ และให้กำลังใจ เราเป็นคนไทยด้วยกัน ต้องให้กำลังใจกันนะ เราก็จะพยายามทำผลงานให้ผู้ชมได้ชมกัน เพราะถ้ามันไม่แน่จริง หอแต๋วแตกมันไม่มีมาถึง 10 ภาค เราก็ตั้งใจทำ ยังไงก็ฝากกันเอาไว้ด้วย ไม่ใช่ด่าอย่างเดียว เพราะคนที่ด่า ก็ไม่ใช่คนที่ดูหนังของเรา อย่าเอา หอแต๋วแตก ไปเทียบกับ เพื่อนกูรักมึงว่ะ หรือ เอ๋อเหรอ มันเเทียบกันไม่ได้อยู่แล้วเพราะหนังคนละสไตล์กัน เราก็พยายามที่จะคุมโทนในหนัง เหตุการณ์ในเรื่องมันเยอะ แต่มันก็ไม่ทำให้เสียหนังนะการดูหนังมันเป็นเรื่องของรสนิยม คนชอบหนังดราม่าไปดูหนังตลกเค้าก็ไม่ชอบ ส่วนคนชอบหนังตลกไปดูหนังดราม่า เค้าก็ไม่ชอบเหมือนกัน ความชอบแต่ละคนไม่เหมือนกัน และเทียบกันไม่ได้ อย่างหอแต๋วแตก เป็นหนังที่โดนด่าเยอะมาก แต่ก็เป็นหนังทำเงินเยอะที่สุด และคนชอบก็เยอะมากที่สุด แรก ๆ เราก็สนใจคำด่า แต่หลัง ๆ เราไม่สนใจละ เรามาสนใจคนที่ดูหนังของเราดีกว่า ทำหนังที่เอาใจกลุ่มคนเหล่านี้ที่ชอบดูหนังของเราดีกว่า” - พชร์ อานนท์พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์ติดตามชมรายการย้อนหลัง

ฟังเพลงออนไลน์ GREEN WAVE ONLINE 106.5 - เพลงดีดีกับความรู้สึกดีดี (88)

ฟังเพลงออนไลน์ GREEN WAVE ONLINE 106.5 - เพลงดีดีกับความรู้สึกดีดี (89)

0.8

1

ฟังเพลงออนไลน์ GREEN WAVE ONLINE 106.5 - เพลงดีดีกับความรู้สึกดีดี (90)

Message

Follow us

ฟังเพลงออนไลน์ GREEN WAVE ONLINE 106.5 - เพลงดีดีกับความรู้สึกดีดี (2024)

References

Top Articles
Latest Posts
Article information

Author: Moshe Kshlerin

Last Updated:

Views: 6304

Rating: 4.7 / 5 (57 voted)

Reviews: 80% of readers found this page helpful

Author information

Name: Moshe Kshlerin

Birthday: 1994-01-25

Address: Suite 609 315 Lupita Unions, Ronnieburgh, MI 62697

Phone: +2424755286529

Job: District Education Designer

Hobby: Yoga, Gunsmithing, Singing, 3D printing, Nordic skating, Soapmaking, Juggling

Introduction: My name is Moshe Kshlerin, I am a gleaming, attractive, outstanding, pleasant, delightful, outstanding, famous person who loves writing and wants to share my knowledge and understanding with you.